"ทำไมถึงชอบทำงานเสาร์อาทิตย์ ไม่คิดจะพักบ้างเหรอ"
อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้ชอบหรอกนะ แต่ไม่รู้ว่าถ้าไม่ทำงานแล้วจะให้ทำอะไรนะสิ มันเหงาอะ
ผมเคยมีช่วงเวลาที่มีเพื่อนมากมายหลายกลุ่มจนถึงขั้นไม่สามารถพบปะสังสรรค์กับเพื่อนได้ครบ ต้องเลือกปฏิเสธไปบ้าง เข้าสังคมแทบทุกวัน ใช้เวลาคุ้มค่ามาก แต่มาถึงตอนนี้ทำไมมันเหงาไปแบบคนละขั้วเลยนะ
ตั้งแต่เริ่มทำงานมา เพื่อนสมัยเรียนก็ค่อยๆ หายไป บางคนกลับไปทำงานที่ภูมิลำเนาของตัวเอง บางคนโกอินเตอร์ไปเรียนต่อต่างประเทศ นานๆ จะได้เจอกันสักครั้ง เพื่อนที่อยู่กรุงเทพด้วยกันหลายๆ คนก็เริ่มมีคู่ครอง บ้างก็แต่งงาน บ้างก็ยัง แต่ดูเค้าก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดนะ
ตัวผมเองใช่ว่าจะไม่มีแฟน แต่ก็คบกันเหมือนเด็กวัยเรียนเป็นแฟนกันอย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยมีโอกาสไปไหนด้วยกันเท่าไรนัก บ้านก็ไกลกัน พ่อแม่ก็หวงราวกับไข่ในหิน เหมือนท่านไม่รู้ว่าผมจะ 30 แล้วนะเนี่ย
เพื่อนที่ทำงานสมัยเป็นครูที่ สว๒ ส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่ทั้งนั้น ยิ่งนานวันก็เหมือนพี่ๆ เค้าจะโตเร็วกว่าผมนะ รสนิยมในการไปไหนมาไหนกันค่อยๆ แตกต่างกันไป ยิ่งที่ สศ. นี่แทบไม่มีรุ่นเดียวกันเลย บ้างก็มีครอบครัวแล้วอีก เลิกงานก็ต่างคนต่างแยกย้าย
เพื่อนนักดนตรีนี่แทบไม่เจอกันเลย ทำงาน ไม่มีเวลาเล่นดนตรี พอไม่เล่นดนตรี event ก็เริ่มหายไป
มาถึงปัจจุบันลาออกมาทำ Open Durian เต็มตัว นานๆ จะเข้าออฟฟิศสักที ทำงานที่บ้าน ไม่ได้ไปไหนนอกจากมีสอนพิเศษ เก็บตัวอยู่แต่บ้าน ไม่ดูแลตัวเอง ผมยาว หนวดเฟิ้ม รู้สึกเหมือนเป็นบรูซ เวย์น ใน The Dark Knight Rises ตอนต้นเรื่อง
งานอดิเรกที่พอจะทำได้ก็คือไปนั่งอ่านหนังสือตามร้านกาแฟ หากาแฟอร่อยๆ กิน จะไปกินเบียร์คนเดียวพอเริ่มเมาก็ยิ่งเหงา เพ้อเจ้ออีก หาเกมเล่นก็ไม่ยอมติด สงสัยหมดวัย ซื้อเกมมาหลายร้อยเล่นไม่จบสักเกม
แล้วจะให้ผมทำอะไรถ้าไม่ทำงานล่ะเนี่ย
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
บั้นปลายชีวิตข้าราชการครู
อีกไม่กี่วันผมก็จบชีวิตการเป็นข้าราชการครูแล้ว แต่แน่นอนผมจะยังเป็นครูต่อไป ครูในแบบที่ผมจะเป็น และจะเป็นไปตลอดชีวิต มีอะไรต้องทำมากมายก่อนที่จะจบหน้าที่ของตัวเองตรงนี้ลง เหนื่อยมากเลยทีเดียว
ผมอยากขอบคุณกับภาระงานที่เข้ามาตอนนี้ เพราะมันพาความสนุก ความมันเข้ามาด้วย การเร่งทำเกรดนักเรียน ไปทัศนศึกษา และค่ายคณิตศาสตร์ ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฟังดูน่าเหลือเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตัวผมเองยอมรับว่าตอนนี้มันกร่อน มันสึกหรอไปหมด ทั้งร่างกาย ความคิด และสภาพจิตใจ เฝ้ารอวันที่จะได้พักฟื้นฟูอย่างเต็มที่ การทำงานในช่วงที่ผ่านมาพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่เต็มความสามารถเลยจริงๆ
เอาเข้าจริงแล้วในใจไม่ได้อยากจะไปไหนทั้งนั้น ทัศนศึกษาก็ไม่อยากไป ค่ายคณิตศาสตร์ก็ไม่ได้อยากไป อยากอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เก็บของจากห้องทำงานกลับบ้าน แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้นเราว่าต้องไปนะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
เมื่อทุกกิจกรรมผ่านไป ผมอยากขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจทำมัน จะเรียกว่าเป็นบั้นปลายชีวิตราชการที่ "โคตรมีความสุข" เลยจริงๆ การไปทัศนศึกษาแม้สถานที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้เรายิ้มไปได้ทั้งวัน
เช่นกันกับค่ายคณิตศาสตร์ ผมสนุกกับมันมาก แต่กลับมานั่งคิดแล้วก็ต้องบอกว่าตัวเองไม่สามารถ "ปล่อยของ" ได้เต็มที่อย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แน่นอนเป็นผลจากการพักผ่อนที่น้อยมากๆ นั่นทำให้ประสิทธิภาพในตัวเองลดลงไปมาก
ค่ายจบไป แอบเสียดายโอกาสเหมือนกันนะ ต่อจากนี้จะได้ออกค่ายกับเด็กๆ ไปไหนมาไหนอีกหลายๆ ที่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป ขอบคุณโอกาสที่ให้เราได้ทำอะไรมากมายในช่วงเวลาสุดท้ายตรงนี้ จะเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป ...
ผมอยากขอบคุณกับภาระงานที่เข้ามาตอนนี้ เพราะมันพาความสนุก ความมันเข้ามาด้วย การเร่งทำเกรดนักเรียน ไปทัศนศึกษา และค่ายคณิตศาสตร์ ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฟังดูน่าเหลือเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตัวผมเองยอมรับว่าตอนนี้มันกร่อน มันสึกหรอไปหมด ทั้งร่างกาย ความคิด และสภาพจิตใจ เฝ้ารอวันที่จะได้พักฟื้นฟูอย่างเต็มที่ การทำงานในช่วงที่ผ่านมาพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่เต็มความสามารถเลยจริงๆ
เอาเข้าจริงแล้วในใจไม่ได้อยากจะไปไหนทั้งนั้น ทัศนศึกษาก็ไม่อยากไป ค่ายคณิตศาสตร์ก็ไม่ได้อยากไป อยากอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เก็บของจากห้องทำงานกลับบ้าน แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้นเราว่าต้องไปนะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
เมื่อทุกกิจกรรมผ่านไป ผมอยากขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจทำมัน จะเรียกว่าเป็นบั้นปลายชีวิตราชการที่ "โคตรมีความสุข" เลยจริงๆ การไปทัศนศึกษาแม้สถานที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้เรายิ้มไปได้ทั้งวัน
เช่นกันกับค่ายคณิตศาสตร์ ผมสนุกกับมันมาก แต่กลับมานั่งคิดแล้วก็ต้องบอกว่าตัวเองไม่สามารถ "ปล่อยของ" ได้เต็มที่อย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แน่นอนเป็นผลจากการพักผ่อนที่น้อยมากๆ นั่นทำให้ประสิทธิภาพในตัวเองลดลงไปมาก
ค่ายจบไป แอบเสียดายโอกาสเหมือนกันนะ ต่อจากนี้จะได้ออกค่ายกับเด็กๆ ไปไหนมาไหนอีกหลายๆ ที่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป ขอบคุณโอกาสที่ให้เราได้ทำอะไรมากมายในช่วงเวลาสุดท้ายตรงนี้ จะเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป ...
ทำไมจึงยังไม่หยุด
ทำไมไม่หยุดสักที... เป็นคำถามที่ผมเฝ้าคอยถามตัวเองเสมอมาในปีนี้ ผมรู้สึกว่าปี 2558 เป็นปีที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิตตามเป้าหมายที่วางไว้มาก มาถึงจุดที่การมีรายได้เข้ามาไม่ทำให้รู้สึกดีใจได้เท่ากับการมีเวลาว่าง
ผมไม่ต้องนั่งกังวลว่าเงินเดือนเดือนนี้จะเข้าวันไหน ไม่ต้องนั่งกังวลว่าเดือนนี้จะมีงานเข้ามาบ้างหรือเปล่า เทรดหุ้นโดยไร้ความกังวลว่าปีนี้พอร์ตจะโตกี่เปอร์เซ็น ไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีอะไร แต่ผมรู้สึกว่าปีนี้ผมพอแล้ว 3 เดือนที่เหลือต่อจากนี้ ถ้าจะหยุดนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงาน ไม่มีรายได้เลย ผมก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน... แต่ทำไมยังทำงานไม่หยุดสักที
การรับงานหลายๆ ครั้งในช่วงหลังมา ผมไม่เคยพิจารณา ไม่เคยถามถึงค่าตอบแทน แต่จะถามว่า "ให้ผมสอนใคร" "เป้าหมายของโครงการนี้คืออะไร" ผมจะพิจารณาถึงประโยชน์ที่คนอื่นจะได้ เด็กๆ จะได้ ว่าคุ้มค่าต่อการเสียแรงของผมมั้ย ถ้าคุ้มก็จะทำ
เมื่อคืนหลับไปโดยมีคีย์บอร์ด Surface เป็นหมอน ไม่แน่ใจว่าหลับไปตอนกี่โมงเหมือนกัน แต่ผมฝัน... ในฝันมีคนถามผมว่าทำไมไม่หยุดสักที ยังคงเป็นคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในความคิดผมตลอดเวลาแม้แต่นอนหลับฝัน ตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่ทำคือพยายามหาคำตอบให้กับคำถามนี้
สุดท้ายผมก็ได้คำตอบแล้วว่า แม้ตัวผมพร้อมที่จะหยุด แต่โลกยังคงหมุนต่อไป การศึกษายังต้องดำเนินต่อไป Open Durian ยังต้องเติบโตขึ้น เด็กๆ ยังต้องเรียน ยังต้องสอบ ยังต้องมุ่งสู่ฝันต่อไป และนี่คือเหตุผลที่ผมไม่สามารถหยุดได้
ผมไม่ต้องนั่งกังวลว่าเงินเดือนเดือนนี้จะเข้าวันไหน ไม่ต้องนั่งกังวลว่าเดือนนี้จะมีงานเข้ามาบ้างหรือเปล่า เทรดหุ้นโดยไร้ความกังวลว่าปีนี้พอร์ตจะโตกี่เปอร์เซ็น ไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีอะไร แต่ผมรู้สึกว่าปีนี้ผมพอแล้ว 3 เดือนที่เหลือต่อจากนี้ ถ้าจะหยุดนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงาน ไม่มีรายได้เลย ผมก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน... แต่ทำไมยังทำงานไม่หยุดสักที
การรับงานหลายๆ ครั้งในช่วงหลังมา ผมไม่เคยพิจารณา ไม่เคยถามถึงค่าตอบแทน แต่จะถามว่า "ให้ผมสอนใคร" "เป้าหมายของโครงการนี้คืออะไร" ผมจะพิจารณาถึงประโยชน์ที่คนอื่นจะได้ เด็กๆ จะได้ ว่าคุ้มค่าต่อการเสียแรงของผมมั้ย ถ้าคุ้มก็จะทำ
เมื่อคืนหลับไปโดยมีคีย์บอร์ด Surface เป็นหมอน ไม่แน่ใจว่าหลับไปตอนกี่โมงเหมือนกัน แต่ผมฝัน... ในฝันมีคนถามผมว่าทำไมไม่หยุดสักที ยังคงเป็นคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในความคิดผมตลอดเวลาแม้แต่นอนหลับฝัน ตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่ทำคือพยายามหาคำตอบให้กับคำถามนี้
สุดท้ายผมก็ได้คำตอบแล้วว่า แม้ตัวผมพร้อมที่จะหยุด แต่โลกยังคงหมุนต่อไป การศึกษายังต้องดำเนินต่อไป Open Durian ยังต้องเติบโตขึ้น เด็กๆ ยังต้องเรียน ยังต้องสอบ ยังต้องมุ่งสู่ฝันต่อไป และนี่คือเหตุผลที่ผมไม่สามารถหยุดได้
วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558
ดู Freelance แล้วย้อนดูตัวเอง ... [SPOILER ALERT]
ไม่ได้รีวิวหนังอะไรนะครับ แต่ดูแล้วรู้สึกตรงกับชีวิตตัวเองยังไงไม่รู้
เปิดเรื่องมาด้วยประโยคว่า "คนเราควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง" สะอึกเลย เหมือนโดนด่า 555+
ยุ่นทำงานแบบไม่หลับไม่นอน ไม่มีเวลาว่าง ไม่มีเวลาเจอเพื่อน ถึงเราจะไม่หนักขนาดนั้น แต่ก็เหมือนสะท้อนชีวิตตัวเองโคตรๆ ยิ่งจังหวะที่รู้สึกเหมือนตัวเองทำงานได้ไม่ดี แต่กลับดีในสายตาคนอื่นและได้รับคำชมนี่ หายเหนื่อยแทน
พอเริ่มป่วยจนกระทบการทำงาน (นี่ก็ตรงอีก) ไปหาหมอ ได้ยามา สิ่งที่ทำให้สะอึกได้อีกระลอกคือการไม่ยอมกินยาก่อนนอน (ที่ทำให้ง่วง) ทุกครั้งที่ไปหาหมอก็จะบอกว่ายาหมดแล้ว เพราะหมอให้ยาตามจำนวนวันที่หมอนัดครั้งถัดไป ถ้าบอกว่ายังเหลือหมอก็จะจับได้ จนตอนนี้ยาก่อนนอนตัวนั้นเหลือเต็มบ้าน
หันมองเครื่องช่วยหายใจที่วางไว้เฉยๆ นานๆ จะใส่สักครั้งเพราะไม่ชอบใส่ มันเสียเวลา วันนี้ไปหาหมอ ผลในเครื่องฟ้องว่าระยะเวลาที่เอาเครื่องมาใช้ 1 เดือน นั้น เราไม่ได้ใส่ถึง 13 วัน และมีเพียง 10 วัน ที่เราใส่เครื่องนั้นเกิน 4 ชั่วโมง แล้วจะหายได้ไงเนอะ
สิ่งหนึ่งที่ไม่ตรงคือหมอเรามีอายุและไม่สวยเหมือนในหนัง 555+
พอยุ่นมีงานใหญ่เข้ามา ก็รับทันที แม้ในใจจะรู้ว่าร่างกายไม่พร้อม และเวลาแทบจะไม่มี ตรงเป๊ะกับชีวิตช่วงนี้ แต่เราก็ฝ่าฟันมันมาได้ แม้จะเสียมาตรฐานตัวเองไปเล็กน้อย
นั่งมองบัตรสมาชิกฟิตเนสรายปีที่เพิ่งหมดอายุไปก็เสียดาย ที่เคยบอกกับตัวเองว่าจะจัดเวลา ฟิตเนสอยู่ใกล้โรงเรียน ยังไงก็ไปได้ แต่สุดท้ายใช้ไม่คุ้มเลยจริงๆ
จังหวะที่ยุ่นพยายามนอนเร็ว แต่ก็หลับไม่ลงเพราะกังวลงาน อันนี้น้ำตาจะไหล พี่เต๋อเอาชีวิตเราไปทำหนังใช่มั้ยเนี่ย >"<
เมื่อพีคจนถึงจุดหนึ่งก็ต้องหันกลับมาทำเพื่อตัวเอง ปฏิเสธงาน หาเวลาให้ตัวเอง ของเราอาจจะหนักกว่านั้นคือเปลี่ยนงานไปเลย
คิดไปคิดมาแล้วเราก็ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อชีวิตตัวเอง จะได้ไม่ต้องพบจุดจบแบบในหนัง เรายังตายไม่ได้ ยังมีอะไรไม่ได้ทำอีกเยอะเลย
วงการการศึกษามันโหดร้าย ^^"
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เราควรจองที่นั่งก่อนไปซื้ออาหารหรือไม่
ศูนย์อาหารเป็นที่ฝากท้องของใครหลายๆ คนที่เบื่อร้านอาหารเฟรนไชส์ตามห้าง สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่มักมองหาหลังจากแลกคูปองเรียบร้อยคือที่นั่ง เราจองที่นั่งก่อนไปซื้ออาหารเพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากได้รับอาหารแล้วมีที่นั่งทานแน่นอน
ผมอาจไม่ได้ใช้บริการศูนย์อาหารบ่อยนัก แต่ถ้าไปฝากท้องเมื่อไร ผมจะซื้ออาหารก่อนแล้วค่อยหาที่นั่ง
ผมไม่ได้อินดี้อะไรหรอกครับ อย่างวันนี้ผมก็ไปซื้ออาหารตามปกติ ระหว่างมองหาที่นั่ง ผมเห็นที่นั่งกว่าครึ่งหนึ่งถูกจองไว้รอคอยคนไปซื้ออาหาร
ผมเดินวนแล้ววนอีกจนคิดในใจว่า ในระหว่างที่โต๊ะถูกจองไว้อย่างว่างเปล่า ถ้าผมได้นั่งผมคงทานอาหารเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
อีกหลายคนที่เดินถือถาดอาหารวนหาที่นั่งก็คงทานเรียบร้อยเหมือนกันถ้าได้นั่ง
กรณีที่ของเยอะแล้วเอาของวางไว้ที่โต๊ะก่อนไปซื้ออาหาร อันนี้คงเหมาะสมดีแล้วครับ แต่หลายๆ คน ก็ไม่ได้มีของอะไร แค่ให้เพื่อนนั่งจองว่างๆ หรือเอาของเล็กๆ น้อยๆ วางจองไว้
ผมก็บ่นไปเรื่อยแหลครับ ลองดูนะครับ ถ้าไม่มีของเต็มไม้เต็มมืออะไร ผมว่าวิธีของผมน่าจะช่วยแก้ปัญหาไม่มีที่นั่งกินข้าวในศูนย์อาหารได้พอสมควรเลย
ผมอาจไม่ได้ใช้บริการศูนย์อาหารบ่อยนัก แต่ถ้าไปฝากท้องเมื่อไร ผมจะซื้ออาหารก่อนแล้วค่อยหาที่นั่ง
ผมไม่ได้อินดี้อะไรหรอกครับ อย่างวันนี้ผมก็ไปซื้ออาหารตามปกติ ระหว่างมองหาที่นั่ง ผมเห็นที่นั่งกว่าครึ่งหนึ่งถูกจองไว้รอคอยคนไปซื้ออาหาร
ผมเดินวนแล้ววนอีกจนคิดในใจว่า ในระหว่างที่โต๊ะถูกจองไว้อย่างว่างเปล่า ถ้าผมได้นั่งผมคงทานอาหารเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
อีกหลายคนที่เดินถือถาดอาหารวนหาที่นั่งก็คงทานเรียบร้อยเหมือนกันถ้าได้นั่ง
กรณีที่ของเยอะแล้วเอาของวางไว้ที่โต๊ะก่อนไปซื้ออาหาร อันนี้คงเหมาะสมดีแล้วครับ แต่หลายๆ คน ก็ไม่ได้มีของอะไร แค่ให้เพื่อนนั่งจองว่างๆ หรือเอาของเล็กๆ น้อยๆ วางจองไว้
ผมก็บ่นไปเรื่อยแหลครับ ลองดูนะครับ ถ้าไม่มีของเต็มไม้เต็มมืออะไร ผมว่าวิธีของผมน่าจะช่วยแก้ปัญหาไม่มีที่นั่งกินข้าวในศูนย์อาหารได้พอสมควรเลย
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
นับถอยหลัง... สู่การเป็นสามัญชน
ผมอาจไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อเป็นครู แต่อุดมการณ์ผลักดันให้ผมได้เข้ามาอยู่ในถนนสายนี้ อาจเป็นโชคชะตาหรือลิขิตฟ้าที่เปลี่ยนให้คนอย่างผมหันมาสนใจความเป็นไปของอนาคตของชาติ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เส้นทางผมควรก้าวต่อไป
กว่า 7 ปี ที่ผมอุทิศตนให้กับการศึกษาอย่างมีจุดมุ่งหมาย นับเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาบนโลกอันสวยงามใบนี้ มีสุข มีทุกข์ มีสมหวัง มีผิดหวัง ปะปนกันไป แต่อย่างน้อย ผมก็มั่นใจว่า 7 ปีที่ผ่านมา ผมได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตไปแล้ว
ผมอาจไม่ใช่ครูที่ดีที่สุด แต่ผมเชื่อว่าผมเป็นครูที่ตั้งใจที่สุดคนหนึ่ง แม้ผมไม่ได้เรียนมาทางสายนี้โดยตรง แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาตนเองในด้านการศึกษา ไม่เคยเกรงกลัวที่จะทำงานหนัก พยายามทุกอย่างเท่าที่ความสามารถจะอำนวย หวังว่าวันหนึ่งจะเป็นครูที่ดีและเป็นตัวต่อชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้การศึกษาของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของผมคงไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้การศึกษาของเราดีขึ้น เมื่อสิ่งต่างๆ ในระบบไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น การอยู่ในระบบไม่เอื้อให้ผมใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่และเหมาะสม จนกระทั่งวันนี้ ความทะเยอทะยานที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวผมไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ผมจึงจำเป็นต้องค้นหาทางออกที่ดีที่สุดทั้งสำหรับระบบการศึกษาและตัวผม
ผมไม่ทิ้งความฝัน ความมุ่งมั่น ที่ผมสั่งสมมาทั้งชีวิตไปแน่นอน ผมจะไม่ทิ้งเด็กๆ ที่เป็นอนาคตของชาติเอาไว้ เพียงแต่ผมขอเลือกที่ไปอยู่ในจุดที่ผมจะได้ใช้ความสามารถอุทิศเพื่อการศึกษาได้อย่างเต็มที่กว่านี้ ผมจึงขอก้าวถอยออกมาจากระบบนี้ และเลือกที่จะก้าวต่อไปในเส้นทางที่ผมมีอิสระในการทำงาน มีอิสระทางความคิดมากกว่านี้ ซึ่งผมจะสามารถทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติได้อย่างเต็มที่
ผมรักนักเรียนไทย ผมรักประเทศไทยครับ
กันต์ดนัย
ครู ...
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558
R.I.P. Christopher Lee
อีกหนึ่งฉากการต่อสู้ด้วยดาบแสงที่จะเป็นที่จดจำไปตลอดกาลสำหรับแฟนๆ Star Wars
Christopher Lee นักแสดงผู้รับบท Count Dooku ได้แสดงบทบาทการต่อสู้ที่เป็นตำนานกับอาจารย์ Yoda เอาไว้ใน Star Wars Ep.2 ขณะที่เขามีอายุ 79 ปี
เมื่อวานนี้ Lee ได้สิ้นอายุขัยลงด้วยวัย 93 ปี เสียดายที่ไม่ได้อยู่ดูนักแสดงรุ่นน้องใน The Force Awakens
ขอพลังจงอยู่กับเขาตลอดไป
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
อาหารเช้า... คอร์สเพิ่มเกรดง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเอง
* ภาพประกอบจาก Pantip.com |
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าอาหารเช้านั้นไม่สำคัญ ไม่ใช่เพียงช่วยให้เราอิ่มหลังจากที่ท้องว่างมาตลอดทั้งคืนที่เรานอน ล่าสุดมีงานวิจัยจากต่างประเทศที่บอกว่าอาหารเช้านั้นช่วยให้เด็กมีผลการเรียนที่ดีขึ้นอีกด้วย
วิถีชีวิตของคนกรุงเทพนั้นอยู่บนความรีบเร่งตลอดเวลา เด็กบางคนต้องทานอาหารเช้าบนรถ บางคนได้แซนด์วิชสักชิ้นก็ยังดี บางคนแค่นมกล่องเดียวก็คิดว่าพอแล้ว
ผมสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนโรงเรียนผมในตอนเช้า มีเพียงไม่ถึง 30% โดยประมาณที่มาทานอาหารเช้าที่โรงอาหาร และใน 30% นั้น กว่า 1 ใน 3 ทานเพียงแค่ขนมปังปิ้ง แซนด์วิช ข้าวปั้นสาหร่าย หรืออาจเพียงแค่นมสักกล่อง
คำว่าอาหารเช้าในทางโภชนศาสตร์นั้นหมายถึงอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ เพราะฉะนั้น การทางแซนด์วิช หรือข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซึ่งเป็นอาหารเช้ายอดนิยมของเด็กๆ หลายคนนั้นไม่ถูกต้องเลย เรียกว่าเหมือนทานขนมเล่นๆ ไม่ได้ทานอาหารเช้าจริงๆ
มีการศึกษากว่า 21 งาน ในช่วงปี ค.ศ. 1996 - 2013 เกี่ยวกับผลของอาหารเช้าที่มีต่อการพัฒนาความคิดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กๆ ผลการศึกษาส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกัน งานวิจัย 3 ชิ้น เห็นผลชัดเจนต่อพัฒนาการด้านผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และทักษะการคิดคำนวณ และมี 4 งานวิจัย กล่าวว่าทักษะการคิดคำนวณของนักเรียนนั้น สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (significantly higher)
การศึกษาส่วนใหญ่คือการลงไปควบคุมโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนโดยดูแลการรับประทานอาหารเช้าของเด็กให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ ตัวแปรตามของการศึกษาคือเกรดจากการเรียนและคะแนนการทดสอบมาตรฐานที่นักเรียนต้องเข้ารับ
ผลการศึกษาจะเห็นชัดเจนและมีความสอดคล้องกันยิ่งขึ้นในนักเรียนกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลจากผู้ปกครองในเรื่องอาหารเท่าไรนัก และจะเห็นผลมากในเด็กอายุไม่ถึง 13 ปี
สำหรับผมเองนั้น ได้เริ่มรับประทานอาหารเช้าอย่างจริงจังก็ตอนที่มาศึกษาในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ด้วยเหตุผลคือรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพนั้นต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันที่ยุ่งเพียงใด ผมจะต้องหาเวลาในการทานอาหารเช้าให้ได้เสมอ
เรารับประทานอาหารเย็นกันประมาณ 6 โมง ถึง 1 ทุ่ม สำหรับเด็กนักเรียนแล้ว หากไม่ได้ทานอาหารเช้า กว่า 13 ชั่วโมง ที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ก็ต้องเข้าเรียนคาบที่ 1 เด็กหลายคนตื่นสาย มาโรงเรียนสาย และไม่ได้ทานอาหารเช้า ถึงแม้จะสามารถทนได้เพราะความเคยชิน แต่ผลกระทบต่อสมองนั้นไม่ดีแน่นอน
ปัจจุบันมีหลายองค์กรที่พยายามผลักดันให้มีการจัดการร้านอาหารบริเวณโรงเรียนให้เป็นไปอย่างถูกสุขลักษณะและมีประโยชน์ต่อนักเรียน ผมคิดว่าโรงเรียนเองก็เช่นกัน ต้องหันมารณรงค์โภชนาการของนักเรียนไม่ว่าจะอาหารเช้าหรือมื้อใดก็ตาม แล้วผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจะดีขึ้นแน่นอนครับ
สำหรับงานวิจัย อ่านฉบับเต็มได้ที่ -> http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3737458/
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ประกาศขายสิทธิ์วันเกิด Starbucks ฟรี 1 แก้ว ราคา 150 บาท!!!
ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าขายได้ ผมขายจริงๆ นะ ทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เมื่อได้สิทธิ์ฟรี 1 แก้ว ไม่ว่าจะโอกาสใดก็ตาม ผมมักเลือกใช้กับเมนูที่แพงที่สุด อาจเป็นเมนูปั่นหรือเมนูชาเขียวก็ว่ากันไป และผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็ทำเช่นนั้น
แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันไม่ทำให้เรารื่นเริงใจเท่าไรนัก บางครั้งต้องทนดูดน้ำปั่นเย็นเจี๊ยบ ทั้งที่เกลียดน้ำเย็นเข้าไส้ บางครั้งต้องกินเมนูชื่อประหลาดแต่รสชาติไม่ต่างจากเมนูทั่วไป
ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร คุ้มหรือเปล่า ถ้าเทียบกับราคามันก็คุ้มนะ แต่ถ้าเทียบกับความชอบส่วนตัวของเราแล้ว ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย
ช่วงหลังมาผมจึงใช้สิทธิ์แก้วฟรีไปกับกาแฟ French Press หรือลาเต้ร้อนธรรมดาๆ ที่ราคาไม่น่าถือโชว์เท่าไร แต่ก็ดื่มอย่างภาคภูมิใจว่าตรูชอบ!!!
ตอนนี้ผมมีสิทธิ์วันเกิดอยู่ 1 แก้ว แถมยังเลือกเครื่องดื่มขนาดไหนก็ได้ด้วย แต่บอกตามตรงนะ ถ้าใช้จริงผมก็คงสั่งแค่ press ไซส์เล็ก หรือลาเต้ร้อนแก้ว tall เพิ่มช็อต ราคา 120 บาทเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วผมเลือกเครื่องดื่มที่ราคา 200+ ได้ด้วยซ้ำไป
เพราะงั้นผมจึงอยากขายสิทธิ์นี่ไง ขายไป 150 บาท เอาไปซื้อกาแฟ 120 บาท กำไร 30 บาท เห็นๆ มันอาจถ่ายโอนสิทธิ์ไม่ได้ แต่เอางี้ไหมครับ ไปร้านพร้อมกัน สั่งอะไรก็ได้ตามใจคุณต้องการ แล้วจ่ายผมแค่ 150 บาท WIN ทั้งคู่!!!
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ทำไมแต้ม 1 และ 4 บนหน้าลูกเต๋า จึงใช้จุดสีแดง
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
ลูกเต๋า เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มากว่า 5,000 ปี เห็นได้จากหลักฐานการขุดพบเกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Backgammon ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอิหร่าน ในปัจจุบันยังมีการใช้ลูกเต๋ากันอย่างแพร่หลาย ในที่นี้ผมกำลังพูดถึงลูกเต๋าที่มี 6 หน้า ไม่ว่าจะใช้เพื่อการเล่นเกม การทำนายดวงชะตา หรือแม้กระทั่งในการศึกษาความน่าจะเป็นในทางคณิตศาสตร์ แต่เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมแต้ม 1 และ 4 บนหน้าลูกเต๋า ต้องเป็นจุดสีแดง ไม่ใช่สีดำเหมือนแต้มอื่นๆ
ลูกเต๋า 6 หน้า ในปัจจุบันมีหลายชนิด หลักๆ ก็มีอยู่ 3 ชนิด คือ
1. ลูกเต๋าแบบตะวันตก จุดที่ใช้แทนแต้มจะมีขนาดเท่ากันและเป็นสีดำทั้งหมด
2. ลูกเต๋าสำหรับคาสิโน ลูกเต๋าประเภทนี้จะต้องมีการผลิตให้น้ำหนักของหน้าลูกเต๋าทั้ง 6 หน้า มีน้ำหนักเท่ากันทั้งหมด ไม่มีการคลาดเคลื่อนจากจำนวนแต้ม หากแต้มน้อยก็จะต้องใช้แต้มที่มีขนาดใหญ่กว่า หรือลงสีเป็นปริมาณที่มากกว่า เพื่อให้มีน้ำหนักเท่ากับหน้าอื่น
3. ลูกเต๋าแบบเอเชีย เป็นลูกเต๋าที่เราคุ้นเคยกันดี มีลักษณะคล้ายกับแบบตะวันตก แต่จุดบนหน้าแต้ม 1 จะมีขนาดใหญ่กว่าแต้มอื่นๆ และการลงจุดในแต่ละหน้ามีความหนาแน่นของจุดมากกว่าแบบตะวันตก และที่สำคัญ แต้ม 1 และ 4 ใช้จุดที่เป็นสีแดงนั่นเอง
ว่ากันว่าลูกเต๋าแบบเอเชียมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1643) จักรพรรดิพระองค์หนึ่งในขณะนั้น ขณะทรงเล่นเกมกระดาน Sugoroku กับพระมเหสีและทรงใกล้แพ้ มีหนทางเดียวที่จะสามารถพลิกกลับมาชนะได้คือพระองค์ต้องทอดลูกเต๋าทั้งสามลูกและได้แต้ม 4 ทั้งหมด ซึ่งมันเกิดขึ้นจริง พระองค์ทรงดีพระทัยมากจึงมีรับสั่งให้ทาสีแดงบนแต้ม 4 ของลูกเต๋าที่จะผลิตในภายหลังจากนี้ไปทุกลูก เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของความดีพระทัยของพระองค์
แล้วแต้ม 1 มีเหตุผลอะไรถึงต้องเป็นสีแดง อันนี้ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดิแต่ก็เป็นเหตุผลของมนุษย์แดนมังกรเช่นกันครับ เป็นความเชื่อว่าการมีพื้นหลังสีขาวแล้วมีลูกกลมๆ สีดำ ถือเป็นลางร้ายนั่นเอง (แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมแต้มอื่นนอกจาก 4 จึงไม่มีปัญหา)
ข้อมูลจาก: TheCardZ, GamesMuseum และ Wikipedia
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
บล็อกนั้น สำคัญไฉน
"Just a small blog of one simple teacher..."
ผมเคยเขียนบล็อกแล้วก็หยุดไป เขียนๆ หยุดๆ มา 2-3 รอบ เปลี่ยน weblog มาก็หลายเจ้า ตามแต่อารมณ์ รู้สึกสนุกกับการเขียนแต่พอไม่ค่อยมีใครเข้ามาอ่านก็เบื่อและหยุดเขียนไป
มีโอกาสได้ไปอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 วิทยากรได้แนะนำให้ใช้บล็อก ผมจึงมีโอกาสได้กลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง และคิดว่าคงจะเขียนไปเรื่อยๆ ไม่หยุดแล้วแหละคราวนี้
ผมคิดว่าบล็อกนั้นสำคัญไม่แพ้การใช้สังคมออนไลน์อื่นๆ เลย เท่าที่พอจะทราบคือต่างชาตินี่เค้าให้ความสำคัญกับการเขียนบล็อกมากนะ เพราะเป็นที่แสดงความคิดเห็น ที่ประชาสัมพันธ์ ที่แสดงความเป็นตัวตนของเราให้ผู้อื่นได้รับทราบ
เหมือนกับว่าการใช้สังคมออนไลน์อื่นๆ ก็ทำได้ใช่ไหมครับ ล่าสุดที่ผมสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นผู้เข้าร่วมงาน TEDxBangkok ที่กำลังจะมีขึ้นเป็นครั้งแรก มีช่องสำหรับให้ผู้สมัครกรอกเว็บไซต์ของตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "ให้รู้จักตัวเรามากขึ้น" เกิดปัญหาละสิครับ บล็อกเก่าก็หยุดเขียนไปประมาณ 3 ปี แล้ว จะลงหน้าเฟซบุ๊คเราก็ไม่ได้เปิดสาธารณะเอาไว้ และมันก็ดูจะเป็นส่วนตัวเกินไปสำหรับสิ่งนี้ด้วย อีกอย่าง คงไม่มีใครอยากเข้ามาอ่านเราบ่นโน่นนี่บนหน้าเฟซบุ๊คกระมัง
สุดท้ายก็ต้องใส่หน้าบล็อกเก่าที่นิ่งมานานเพื่อแก้ขัด พลันคิดถึงการเขียนบล็อกอีกครั้ง ผมมีโอกาสได้เขียนบทความบ้างลงในฟังก์ชันเขียนบทความของเฟซบุ๊ค แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกดเข้ามาอ่าน จะเขียนแล้วโพสท์ลงสเตตัสไปเลยมันก็ดูยาวกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับสเตตัสเฟซบุ๊ค ก็เลยมาจบลงที่ Blogspot (หรือ Blogger) นี่แหละครับ จาก weblog เก่าที่เคยใช้ Wordpress แต่ด้วยความที่ปัจจุบันการให้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตมักจะเชื่อมโยงกันหมด ผมเองก็เป็นผู้ใช้บริการของ Google อยู่หลายบริการ จึงต้องจบที่ weblog ของ Google เช่นกัน
หลักๆ ก็คงจะเขียนแบบมีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง อาจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เรื่องของกาแฟในมุมมองของผม และความบ้าหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของผมก็เช่นกัน เอาเป็นว่า ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยือนบล็อกของผม จะทั้งตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ใครทึ่เบื่อจะอ่านผมบ่นในเฟซบุ๊คแล้ว ก็มาอ่านบล็อกนี้ก็ได้ครับ มีสาระกว่าเยอะ 555
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เลือกหนังสือเพื่อเตรียมสอบ PAT 1 อย่างไรดี
* ภาพประกอบจาก Open Durian |
ช่วงนี้มีนักเรียนถามกันเยอะว่าจะซื้อหนังสือเล่มไหนมาอ่านเตรียมสอบ PAT 1 ดี เป็นปลื้มมากที่เห็นนักเรียนมีความกระตือรือร้นกัน ครูก็ขอเขียนเทคนิคการเลือก ไม่สิ เรียกว่าเป็นคำแนะนำในการเลือกหนังสือสำหรับอ่านเตรียมสอบ PAT 1 จากประสบการณ์ของครูหน่อยก็แล้วกัน
ก่อนอื่น ต้องทราบจุดประสงค์ของตัวเองก่อนครับว่าต้องการอะไร ครูขอแบ่งความต้องการออกเป็นดังนี้
1. ต้องการเนื้อหาแน่นๆ เพราะลืมเนื้อหาเก่าหมดแล้ว
2. สรุปเนื้อหา ทฤษฎี สูตร แบบกระชับ อ่านจบภายในไม่กี่วัน
3. ความรู้แน่น สูตรเป๊ะเว่อร์แล้ว ฉันอยากตะลุยโจทย์สักล้านข้อ!!!
4. เอาหมดเลยได้มั้ย
ลองสำรวจความต้องการของตัวเองก่อนครับ และประเมินตัวเองคร่าวๆ ว่าตอนนี้ระดับความรู้ของเราเป็นอย่างไร เมื่อทราบแล้วก็ไปอ่านคำแนะนำกันเลยครับ
1. ต้องการเนื้อหาแน่นๆ เพราะลืมเนื้อหาเก่าหมดแล้ว
ไม่ค่อยอยากให้มีใครอยู่ในข้อนี้สักเท่าไรเลยครับ เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน ก็สอบแล้ว อย่าชะล่าใจนะครับ ปิดเทอมตุลามันสั้น ตดไม่ทันหายเหม็นก็เปิดเทอมแล้ว ไหนจะต้องซ้อมกีฬาสีกันอีก คิดดูสิ แต่เอาเถอะ ถ้าใครยังอยู่ในสภาพนี้ละก็ รีบไปหาหนังสือมาอ่านหลังจากอ่านคำแนะนำของครูจบได้เลย สำหรับผู้ที่ต้องอ่านทบทวนเนื้อหาใหม่ทั้งหมดเพราะตอนนี้สมองโปร่งโล่งสบาย เราจะต้องเจอกับการแบกหนังสือเล่มหนาไม่ต่างจากพจนานุกรมทีเดียวเชียวครับ เพราะทั้งเล่มจะต้องมีเนื้อหาครบทุกบท มีตัวอย่าง และมีแบบฝึกหัดเล็กๆ น้อยๆ ประมาณบทละ 10-15 ข้อ บางเล่มดีหน่อยก็มีเฉลยละเอียดด้วย หนังสือแนวนี้ที่ครูชอบก็อย่างเช่นของ อ.จักรินทร์ (อ.กลาง) ครับ ภาษาที่ใช้อ่านง่ายดี โจทย์เยอะ แต่ข้อเสียคือ อ.กลาง จะมีเทคนิค สูตรลัด เยอะไปหน่อย บางทีเราอ่านแล้วอาจตามไม่ทัน
นอกจากของ อ.กลาง ก็มีของทีม ศ.ณรงค์ ปั้นนิ่ม และ อ.กนกวลี ครับ เห็นชื่อนี่เมื่อไรมั่นใจได้เลยว่า เราจะได้พบกับเนื้อหาที่เข้มข้น ซึ่งดีครับ แต่บางคนอาจไม่ชอบเพราะใช้เวลาอ่านเยอะและอาจน่าเบื่อไม่ตรงใจวัยรุ่น Gen Z นัก และที่แนะนำอีกคนก็คือของพี่ณัฐ อุดมพาณิชย์ หนังสือของพี่ณัฐจะมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร แค่ปกกับชื่อหนังสือก็น่าอ่านแล้ว แต่จะแยกค่อนข้างชัดเจน คือหนังสือเนื้อหา ก็เนื้อหาล้วนไม่มีแบบฝึกหัด หนังสือรวมโจทย์ก็โจทย์เพียบไม่มีเนื้อหา ข้อดีของพี่ณัฐคือเฉลยอ่านง่าย และไม่ได้ใช้สูตรลัดอะไรมากมายเหมือน อ.กลาง ครับ
อ้อ ถ้าใครมีเวลาและอยากอ่านเนื้อหาที่เข้มข้นสามารถเลือกหนังสือแบบเป็นซีรี่ย์ คือแยกเป็นหลายเล่ม บางชุดแยกเป็นเล่ม ม.4 5 6 บางชุดก็ระบุไว้ที่ปกเลยว่าเล่มนี้มีเนื้อหาบทใดบ้าง แต่ครูว่า เวลาที่เหลือคงไม่เหมาะกับการอ่านหนังสือแบบนี้ เอาไว้หวังผลรอบ 2 หรือสามัญ 7 วิชา ก็ได้ครับ
2. สรุปเนื้อหา ทฤษฎี สูตร แบบกระชับ อ่านจบภายในไม่กี่วัน
หนังสือสรุปพวกนี้จะทำออกมาเล่มเล็กๆ เก๋ๆ ดูแล้วน่าอ่านเพราะคิดว่าไม่นานคงจบ ก็ใช้ทบทวนได้ครับสำหรับคนที่ค่อนข้างแม่นเนื้อหาในระดับหนึ่งแล้ว หนังสือสรุปจะแบ่งชัดเจนว่าเพื่อ O-Net หรือ PAT 1 หรืออื่นๆ อีกมากมาย อย่างหนังสือ อ.กลาง ตอนนี้มีเวอร์ชัน mini เล่มเล็กๆ ออกมา เท่าที่เห็นคือมี 2 เล่ม O-Net กับ PAT 1 ถึงจะ mini ก็ใช่ว่าอ่านไม่เยอะนะครับ เพราะแค่ตัดโจทย์ออกบางส่วนและลดขนาด font ลง หนังสือก็เล็กลงเยอะแล้ว แต่ก็ตามสไตล์ของแกแหละครับ สูตรเพียบ
นอกจากนี้ก็มีหนังสืออีกมากมายหลากหลายผู้แต่งที่ทำเป็นเล่มเล็ก ปกฟรุ๊งฟริ๊ง พิชิตโน่นนี่ภายใน 7 วัน อย่างกับขายครีมหน้าใส หรือถ้าดูหวือหวาน้อยลงหน่อยก็มีพิชิตใน 30 วัน บ้าง 50 วัน บ้าง ครูว่าอย่างนี้ยังพอเป็นไปได้หน่อย มีอยู่เล่มหนึ่งครูจำไม่ได้แล้วว่าใครเขียน แต่เขาแบ่งให้ชัดเจนมากว่าวันไหนอ่านกี่ชั่วโมง และต้องอ่านบทไหนให้จบบ้าง ก็ดีนะครับ อย่างน้อยก็ช่วยให้เรามีแผนการอ่านไปในตัว
3. ความรู้แน่น สูตรเป๊ะเว่อร์แล้ว ฉันอยากตะลุยโจทย์สักล้านข้อ!!!
หนังสือตะลุยโจทย์มีทั้งแบบแยกบทและแบบรวมข้อสอบ เก็งโน่นนี่ก็มีครับ แบบแยกบทนี่หนังสือจะค่อนข้างหนาไม่ต่างจากแบบรวมเนื้อหาครับ ครูไม่ค่อยสนใจผู้แต่งเท่าไรเพราะเอาโจทย์มาจากแหล่งเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ แค่ดูว่าเล่มไหนโจทย์เยอะ เล่มไหนพิมพ์สวย และเลือกที่ว่าเราอยากได้เฉลยละเอียดทุกข้อ บางข้อ หรือแค่บอกคำตอบก็พอ ส่วนผู้แต่งจะต่างกันตรงที่แนวการเขียนเฉลยครับ คล้ายๆ กับแนวการเลือกเนื้อหา อ.กลาง ก็สูตรเยอะ และจำนวนข้อสอบจะเยอะมากเมื่อเทียบกับขนาดของหนังสือ เพราะแกเฉลยสั้นๆ ครับ พี่ณัฐก็อ่านง่ายดีแต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบรวมข้อสอบมากกว่าแยกบท แนะนำหนังสือ "SYNTAX" ครับ เล่มนี้จะมีแบบทดสอบวัดความเข้าใจเนื้อหาก่อนแล้วจึงทำรวมข้อสอบที่แยกระดับความยากไว้อย่างดี เฉลยละเอียดมาก แต่นั่นส่งผลให้ข้อสอบมีจำนวนไม่เยอะมากนัก
ส่วนของทีม ศ.ณรงค์ และ อ.กนกวลี ก็เน้นทฤษฎีตรงไปตรงมาครับ เฉลยละเอียดมากเช่นกัน ทำให้ปริมาณข้อสอบไม่เยอะเท่าไรเมื่อเทียบกับความหนาของหนังสือ แต่ที่ครูชอบมากคือหนังสือ 1001 Tests ของสำนักพิมพ์ Mac ครับ ในชุดมี 3 เล่ม แยกบท โจทย์เยอะและหลากหลาย เฉลยเป็นไงบ้างนี่ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะครูไม่ค่อยได้อ่านเท่าไร แต่ปัญหาคือ 3 เล่ม รวมราคาก็พันนิดๆ เชียว ยังไงก็ถูกกว่าเรียนพิเศษแหละเนอะ
หนังสือรวมข้อสอบนี่ ขอแนะนำว่าอย่าซื้อของ "ทีมนิสิตแพทย์สามย่าน" เด็ดขาด ไม่ได้รู้จักนักเขียนเป็นการส่วนตัว แต่จากที่เคยซื้อหนังสือเขามา 2 เล่ม รู้สึกว่าหลอกลวงครับ อย่างเล่มนึงบอกว่ารวมข้อสอบ 1,000 ข้อ เอาเข้าจริงโจทย์ซ้ำไปซ้ำมาเยอะมาก มีอยู่จริงแค่ 3 ร่อยกว่าข้อ (นั่งนับเลยนะ) ที่สำคัญ เฉลยมั่วเยอะครับ เฉลยผิดๆ ถูกๆ โจทย์พิมพ์ไม่ครบก็มี ไม่รู้รีบพิมพ์รีบขายหรืออย่างไร
4. เอาหมดเลยได้มั้ย
ไปเรียน ม.4 ใหม่เถอะครับ 555+
อะล้อเล่น ถ้าคิดว่าตัวเองกำลังเป็นจุดวิกฤตที่ความรู้อยู่ในระดับค่าต่ำสุดสัมพัทธ์แล้วล่ะก็ อ่านเล่มไหนก็อ่านเถอะครับ แต่ขอให้เริ่มอ่านทันทีทันใด ส่วนหนังสืออย่าหวังว่าจะมีหนังสือที่เนื้อหาแน่น โจทย์เยอะ เก็งข้อสอบมากมายเลยครับ ซื้อ 2 เล่ม ก็ไม่เสียหาย ถูกกว่าค่าบัตรคอนเสิร์ตเกาหลีเยอะครับ
หรือถ้าอยากประหยัดจริงๆ ไม่ได้ต้องการขีดๆ เขียนๆ อะไรลงในหนังสือ ไปดูที่ห้องสมุดก็ได้ครับ ไม่ว่าจะโรงเรียนไหนก็มีหนังสือให้เลือกมากมายครับ ดีด้วยเพราะมีกำหนดส่งคืนหนังสือทำให้เราต้องรีบอ่าน
หรืออีกตัวเลือกหนึ่งก็หาจากเน็ทเอาครับ เว็บที่ครูใช้บ่อยๆ ก็เช่น
Thai-Math Paper (http://www.thai-mathpaper.net)
เว็บนี้มี ebook เนื้อหาคณิตศาสตร์ให้โหลดครับ เนื้อหาค่อนข้างลึก บางทีก็ลึกเกินหลักสูตร แต่อ่านได้ไม่เสียหายครับ
Math E-Book (http://math.kanuay.com)
เว็บ ebook คณิตศาสตร์เช่นกัน มี 2 แบบ แบบแรกเป็นแบบรวมเนื้อหาและมีแบบฝึกหัด สรุปง่ายๆ สั้นๆ แต่บางบทเนื้อหาก็น้อยไปหน่อย และโจทย์อาจไม่หลากหลาย อีกแบบเป็น Release Conc. คือสรุปสั้นๆ กะทัดรัดครับ ebook ของเว็บนี้มีทำเป็นหนังสือ paperback ขายด้วยครับ ถ้าชอบก็อย่าลืมอุดหนุนนะครับ
ติวเลขดอทคอม (http://www.tewlek.com)
ไม่มี ebook แต่มีสรุปเนื้อหาแยกบทให้อ่านครับ ไม่ค่อยละเอียดเท่าไร และมีโจทย์ให้ลองทำด้วย แต่จะเป็นโจทย์ระดับข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียส่วนใหญ่นะครับ
หรือวิธีที่ง่ายที่สุดก็ถามเฮีย Google เอาเลยครับ พิมพ์ไปเถอะ เดี๋ยวก็เจอ อ้อ มีอีกเว็บที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ...
โอเพ่นดูเรียน (https://opendurian.com)
ไม่ได้อวยเป็นพิเศษนะครับ แต่ของเค้าดีจริงๆ เป็นเว็บที่เรียกว่าการเรียนแบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ จะผ่านคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์พกพาอย่างแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนก็สะดวกมากมาย ทุกอย่างดำเนินการบนเว็บแอพพลิเคชั่น ไม่ต้องโหลดไฟล์อะไรมาปริ๊นท์ให้เปลืองครับ
ในเว็บมีส่วนสรุปเนื้อหาที่สามารถเข้าไปอ่านได้ฟรี และส่วนเฉลยข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งมีการแยกชุดและแบ่งระดับความยากอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเฉลยที่ละเอียด อ่านง่าย และสวยงาม ตอนนี้ทางเว็บเปิดบริการ PAT 1 Hack สำหรับรอบนี้แล้วด้วยครับ สามารถเข้าไปติดตามรายละเอียดได้ตามลิงค์นี้ครับ https://opendurian.com/pat1hack/
คำแนะนำของครูอาจจะตรงใจหรือไม่ถูกใจใครก็ต้องขออภัยไว้นะที่นี้ครับ หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักเรียนทุกคน ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ของครู และที่สำคัญ ครูไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับสำนักพิมพ์ ผู้เขียนหนังสือ ร้านหนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ บิล เกตต์ บารัก โอบามา และคิม จอง อึน แต่อย่างใด
ป้ายกำกับ:
การเรียน,
ข้อสอบ,
คณิตศาสตร์,
มัธยมปลาย,
PAT1
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
มาใช้บริการสนามบินทีไร มักต้องจ่ายแพงกว่าราคาจริงเสมอ
มาใช้บริการสนามบินทีไร ไม่ว่าจะดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ มักโดนโกงเงินเสมอ
----------- เรื่องที่ 1 ------------
ผมเป็นครูคณิตที่นั่งแท็กซี่แล้วคิดเลขผิดทุกครั้งไป
ค่ารถ 187 จ่าย 200 พี่โชเฟอร์ทอน 10 บาท
แต่!!! อย่าคิดว่าผมจะพลาดง่ายๆ
ควักเศษ 7 บาท ยื่นให้ แล้วบอกว่า "พี่ให้ผมอีก 10 บาท แล้วกันครับ"
พี่โชเฟอร์ตอบ "ผมมีแค่นี้ครับ"
... โอเคครับ ผมยอม
----------- เรื่องที่ 2 ------------
ด้วยความที่ไม่ได้มาสุวรรณภูมินาน เห็นร้านข้าวแกงเปิดใหม่ในศูนย์อาหารชั้นล่าง ติดป้ายราคาที่ทำให้ผมต้องอึ้ง!!!
"ราด 3 อย่าง 30 บาท"
"โห ในสนามบินยังมีราคานี้ให้กินด้วยแฮะ ใจดีจัง" ผมคิดในใจ
สั่งข้าวราด 3 อย่าง เรียบร้อย โดยใช้วิธีการชี้ๆ เอาเพราะเสียงรอบๆ ดังมาก
แม่ค้ายื่นข้าวให้พร้อมบอกว่า "ซวื่อ ฉรือ อู่ว"
ผมพยายามระลึกความหลังเมื่อเรียนภาษาจีน "45 บาท เหรอ... ไหนว่า 30 บาท" ผมคิด "หรือคิดว่าผมเป็นทัวร์จีน แล้วคิดแพงนะ"
ผมตอบกลับว่า "หว่อ ไท่ กว๋อ นะ"... "ไม่ใช่ 30 บาท เหรอครับ"
"อ๋อ มีไข่ดาวด้วย" พนักงานตอบ
ผมมองป้ายราคา "ราด 2 อย่าง 25 ไข่ดาว 10 บาท ก็ต้อง 35 บาท สิครับ" ผมถามกลับ
"ขอโทษทีค่ะ พอดียังไม่ได้แก้ราคาเก่า"
จบครับ ผมจ่าย 45 บาท ด้วยดี แล้วคิดในใจว่า
"แถวนี้แม่งเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้"
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
Tell me, do you bleed? Yes, but Bleeding Edge!!!
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
ว่าด้วยภาพคอนเซปท์ชุดเกราะใหม่ของ Tony Stark ในภาพยนตร์ภาคต่ออย่าง Captain America: Civil War แล้ว เป็นที่น่าสนใจมากที่ได้เห็นชุดนี้เร็วกว่าที่คิด และเป็นที่น่าคิดด้วยว่า Fantastic 4 ภาคใหม่จะโยงเข้ากับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel ด้วยหรือเปล่า เพราะเกราะ Bleeding Edge นี่ผู้ออกแบบร่วมกับ Stark ก็คือ Reid Richard หัวหน้าทีม Fantastic 4 นั่นเอง ที่บอกว่าเร็วเกินไปนี่เพราะ Bleeding Edge เป็นเกราะในยุค post-human ของ Tony Stark คือแทบจะสูญเสียความเป็นคนไปแล้ว เพราะเกราะนี้อัพเกรดมาจาก Extremis ซึ่งเป็นเกราะเทพตัวหนึ่งของ Stark เลย คือเกราะมันฝังอยู่ในไขกระดูกของ Stark ด้วยนาโนเทคโนโลยี และสามารถสั่งการเกราะได้ด้วยจิตใจ นั่นคือ Stark จะใส่เกราะเมื่อไรก็ได้ดั่งใจนึก ซึ่งคิดว่าในภาพยนตร์คงไม่เอาความสามารถตรงนี้มาใส่เพราะมันดูจะ surreal มาก ส่วนความสามารถอื่นๆ ของ Bleeding Edge ก็คือใช้เตาปฏิกรณ์ Repulsor Technology รุ่นใหม่ แล้วดวงไฟรอบๆ ตัวนั่นก็ไม่ได้เอาไว้สวยๆ สว่างๆ นะ แต่เป็นเสมือน "ตา" ที่ช่วยให้ Stark สามารถมองเห็นได้ 360 องศา รอบตัวเลยทีเดียว และที่สำคัญคือเกราะนี้สามารถแปลงเป็นอะไรก็ได้ นึกถึงตัวร้ายในคนเหล็กภาค 2 อย่าง T-1000 ที่เป็นเหล็กเหลว สามารถแปลงแขนเป็นดาบได้ เป็นตะขอได้ ประมาณนั้นเลย แต่ของ Stark นี่ แปลงเป็นดาบก็ได้ ปืนเล็กปืนใหญ่ได้หมด และที่สำคัญ แปลงเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ได้ ผมเองคิดว่าที่เลือกเอา Bleeding Edge มาใช้ เพราะตามคอมมิคเป็นเกราะสุดท้ายก่อนที่ Tony Stark จะเลิกเป็น Iron Man ครับ เชื่อว่าบทบาทของ Stark ในภาพยนตร์จะหมดลงเร็วๆ นี้ อย่างที่มีข่าวว่า RDJ เซ็นสัญญากับ Marvel ไว้อีก 3 เรื่อง ก็คงเป็น Civil War และ Infinity War อีก 2 ภาค เท่านั้น แต่ตัวเกราะเองจะออกมาแบบไหนก็ต้องรอลุ้นกันปีหน้าครับ
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
Vision ยกค้อนของ Thor ได้อย่างไร
เงิบไปตามๆ กัน เมื่อ Vision ยก Mjolnir ค้อนของ Thor ได้หน้าตาเฉย ในภาพยนตร์ The Avengers: Age of Ultron ทั้งๆ ที่ใน comic ก็ไม่เคยเห็น Vision ยกค้อนของ Thor แต่อย่างใด
อันที่จริงต้องเท้าความกันเล็กน้อยก่อนว่า Vision ในภาพยนตร์ต่างจากใน comic อยู่นะ และประเด็นที่ต่างกันมากคือ Vision ในภาพยนตร์มี Mind Gem อยู่ตรงหน้าผากนี่แหละ ที่อาจส่งผลให้มีพลังมากกว่าที่คิด
ถึงแม้ว่าในจักรวาล comic จะมีตัวละครมากกว่าสิบตัวที่สามารถยก Mjolnir ได้ แต่ในจักรวาลของภาพยนตร์นั้นดูแล้วแทบจะไม่มีทางที่ใครอื่นจะยกได้เลย ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น Capt. แหละ แต่อยู่ดีไม่ว่าดี Vision ก็ยกขึ้นมาหน้าตาเฉย จริงๆ แล้ว Joss Whedon คงใส่มาเป็น easter egg ขำๆ แหละ แต่มันก็พอจะมีเหตุผลที่ยกได้อยู่บ้างนะ (มโนไปเรื่อย) ดังนี้
1. เหตุผลแบบโลกสวย
Vision มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมากๆ ถึงมากที่สุด ก็นะ เพิ่งเกิดแค่วันเดียวนี่เอง แถมจิตใจดีและหล่อมากซะขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นผู้ที่ "คู่ควร" ต่อการยกค้อน
2. เหตุผลแบบไสยศาสตร์
เพราะ Vision มี Infinity Gem อยู่ด้วย ด้วยความที่เป็นไอเทมเทพ ก็อาจส่งผลให้ผู้ที่ครอบครองสามารถทำอะไรเหนือความคาดหมายได้ แต่เหตุผลนี้ไม่ยืนยันนะเพราะใน comic ก็ไม่ได้มีใครที่ยกค้อนได้เพราะมีอัญมณี
3. เหตุผลแบบวิทยาศาสตร์
จริงๆ ก็ไม่เชิงวิทยาศาสตร์นักหรอก แต่คงเป็นเหตุผลที่ Joss Whedon อยากตอบมากที่สุดละ ในตอนท้ายเรื่องที่ศูนย์ฝึก Avengers แห่งใหม่ (Theta Protocol ที่กล่าวถึงใน Agents of S.H.I.E.L.D.) Capt. Thor และ Stark คุยกัน แล้ว Capt. ยิงคำถามว่า ถ้าวางค้อนของ Thor ไว้ในลิฟท์แล้วกดลิฟท์ขึ้น ค้อนจะขึ้นไปด้วยมั้ย ถ้าขึ้น แล้วทำไมลิฟท์จึงเป็นผู้ที่คู่ควร ซึ่งคำตอบก็คือลิฟท์ไม่ได้เป็นผู้ที่คู่ควร แต่ลิฟท์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เหมือนที่วางค้อนไว้บนโต๊ะแล้วโต๊ะไม่พังนั่นแหละ ซึ่ง Vision เองก็ไม่ใช่คนด้วยนะ เป็นเพียงหุ่น Android เท่านั้น ก็อาจเป็นเหตุผลที่ Vision ยกค้อนได้นั่นเอง
ว่าไปแล้วก็อาจมีเหตุผลที่ขัดแย้งในตัวของมันเองเช่นกันว่า Vision ก็มีจิตใจ มีความคิดนะ ไม่ได้เป็นเพียงโปรแกรมเหมือนอย่าง J.A.R.V.I.S. หรืออาจมีคำถามตามมาอีกเช่นว่า ถ้า Stark สั่งให้ Iron Legion มายกค้อน แล้วจะยกขึ้นหรือเปล่า
ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม สรุปสุดท้ายได้ง่ายนิดเดียวว่า... มันเป็นหนังครับ 555
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558
สร้างสะพานลอยตรงไหนดีนะ
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
สะพานลอย คือสิ่งสำคัญสำหรับคนเดินถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากถนนบางสายมีความกว้างมาก การข้ามถนนทำได้ยาก เราจึงปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องขึ้นสะพานลอย (ถึงแม้จะมีบางคนใช้เป็นที่บังแดดก็ตาม) แต่ลองคิดเล่นๆ ดูสิครับว่า ถนนยาวๆ ทั้งหลายเนี่ย สร้างสะพานลอยตรงจุดไหนจึงจะคุ้มค่าที่สุดกันนะ ผมสมมุติสถานที่ดังต่อไปนี้ครับ
ตามรูป สมมุติมีห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง และมีสถานีรถไฟฟ้าอยู่ฝั่งตรงข้าม หากเราต้องการสนับสนุนให้คนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชน เราก็ต้องทำให้มันสะดวกต่อการใช้งานครับ จากกรณีที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมาก ถ้าเราเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้า จะต้องเดินข้ามฝั่งเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้า เดินอย่างไรจึงใกล้ที่สุดครับ ตอบตามหลักวิชาการแล้วก็คงเป็นแบบนี้ครับ
ใช่แล้วครับ เดินตามเส้นทางของการกระจัดนั่นเอง คงไม่มีปัญหาหากจะสร้างเส้นทางเดินจากสถานีรถไฟฟ้ามายังถนน และจากถนนไปยังทางเข้าห้างสรรพสินค้าตามรูปข้างต้น แต่หากจะสร้างสะพานลอยเฉียงๆ อย่างนั้น คงต้องเสียทั้งงบประมาณที่มาก และอาจติดปัญหาในขั้นตอนการสร้างด้วย คงไม่มีใครเคยเจอสะพานลอยแบบนั้นใช่ไหมครับ ที่เราเจอกันก็คือสร้างตามแนวขวางของถนนอย่างนี้ครับ
ตามรูป สมมุติให้ส่วนของเส้นตรงสีเขียวเป็นสะพานลอย เราสร้างกันตามแนวดังกล่าวครับ แต่จะสร้างตำแหน่งใดของถนนดีล่ะครับ จะให้ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า หรือใกล้ห้างสรรพสินค้า หรืออยู่กึ่งกลางพอดี ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลครับ เราคงไม่ใช้วิธีการสุ่มตำแหน่งในการสร้างสะพานลอยแน่นอน แต่คณิตศาสตร์จะบอกเราได้ครับ ก่อนอื่น เราต้องจำลองปัญหาของเราให้เป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เอาแบบง่ายๆ ก็ได้ครับ ดังนี้
ผมกำหนดสถานีรถไฟฟ้าเป็นจุด A และห้างสรรพสินค้าเป็นจุด B แล้วผมก็เลื่อนเจ้าสะพานลอยสีเขียวของเราไปที่ห้างสรรพสินค้าหรือที่สถานีรถไฟฟ้าก่อนก็ได้ครับ
ในที่นี้ผมเลื่อนมันไปยังสถานีรถไฟฟ้า หรือจุด A ในทางคณิตศาสตร์เราเรียกกระบวนการนี้ว่า "การเลื่อนขนาน" ที่เรียนกันตอน ม.2 นั่นเองครับ จากนั้น ผมหาเส้นทางการกระจัดจากปลายสะพานลอย ไปยังห้างสรรพสินค้า หรือจุด B ได้ดังนี้
ตามรูป ส่วนของเส้นตรงสีส้มก็คือทางเดินจากสถานีรถไฟฟ้ามายังถนน และจากถนนไปยังห้างสรรพสินค้า จะเห็นว่า เราสามารถสร้างทางเดินเชื่อมระหว่างห้างสรรพสินค้ากับถนนได้ทันที ดังนี้
ทางเดินจากจุด B มายังจุด C ครับ แล้วยังไงต่อ จากนั้นผมย้ายสะพานลอยไปยังที่ที่มันควรจะอยู่ ก็คือตามขวางของถนน ผมใช้วิธีการเลื่อนขนานอีกครั้ง โดยเอาสะพานลอยของเราไปต่อที่จุด C ดังนี้
แล้วเราจะได้ตำแหน่งของสะพานแล้วที่ควรจะอยู่แล้วครับ ส่วนเจ้าส่วนของเส้นตรงที่เป็นเส้นประนั่นก็คือทางเดินที่เชื่อมจากสะพานลอยกับสถานีรถไฟฟ้า ผมใช้วิธีการเลื่อนขนานอีกครั้ง ก็จะได้
จัดการลบส่วนเกินออกซะ ก็จะได้แผนผังการสร้างทางเดินและสะพานลอยที่สั้นที่สุดแล้วครับ
นี่ก็เป็นตัอวย่างการประยุกต์คณิตศาสตร์แบบง่ายๆ อย่างหนึ่ง แน่นอนว่าในการสร้างสะพานลอยจริงๆ ต้องมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากกว่านี้ แต่ผมรับประกันว่า ต้องมีไอเดียเดียวกันนี้ในการสร้างจริงๆ อย่างแน่นอน สุดท้ายก็ขอฝากสะพานลอยเท่ๆ ของไทยเราไว้อวดต่างชาติครับ
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
PAT1 Hack เทคนิคการทำคะแนน PAT1 รูปแบบใหม่ จาก Open Durian
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการสอบ GAT/PAT เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของนักเรียน ม.ปลาย หลายๆ คน สำหรับวิชาคณิตศาสตร์นั้น PAT1 ถือเป็นข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียกได้ว่าปราบเซียนกันเลย ด้วยความยากของเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์เองแล้ว การออกข้อสอบ PAT1 ก็ถือว่ามีความซับซ้อนมากเลยทีเดียว
การเตรียมตัวสอบแบบดั้งเดิมที่มักจะทำกันคือพยายามอ่านให้ครบ แล้วฝึกทำโจทย์เยอะๆ แต่เคยคิดไหมครับว่า ถ้าเรามุ่งพัฒนาในหัวข้อที่เราถนัดเพื่อเก็บคะแนนให้ได้ชัวร์ๆ แล้วจะดีกว่าไหมครับ ลองดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นจากคลิปนี้ครับ
Open Durian นั้นเป็นเว็บไซต์ที่มุ่งพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์แบบออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ได้ทำการพัฒนามากว่า 3 ปี ด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ และติวเตอร์มากประสบการณ์ ทำให้ PAT1 Hack เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนที่ต้องสอบ PAT1 เป็นอย่างดี
สนใจในรายละเอียดเข้าชมเว็บไซต์ของทาง Open Durian ได้ที่ https://www.opendurian.com/
หรือสอบถามรายละเอียดที่ https://www.facebook.com/OpenDurian
การเตรียมตัวสอบแบบดั้งเดิมที่มักจะทำกันคือพยายามอ่านให้ครบ แล้วฝึกทำโจทย์เยอะๆ แต่เคยคิดไหมครับว่า ถ้าเรามุ่งพัฒนาในหัวข้อที่เราถนัดเพื่อเก็บคะแนนให้ได้ชัวร์ๆ แล้วจะดีกว่าไหมครับ ลองดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นจากคลิปนี้ครับ
Open Durian นั้นเป็นเว็บไซต์ที่มุ่งพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์แบบออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ได้ทำการพัฒนามากว่า 3 ปี ด้วยทีมงานที่มีคุณภาพ และติวเตอร์มากประสบการณ์ ทำให้ PAT1 Hack เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนที่ต้องสอบ PAT1 เป็นอย่างดี
สนใจในรายละเอียดเข้าชมเว็บไซต์ของทาง Open Durian ได้ที่ https://www.opendurian.com/
หรือสอบถามรายละเอียดที่ https://www.facebook.com/OpenDurian
เครื่องหมายอินทิกรัล... ทำไมต้องถั่วงอก?
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
การอินทิเกรตหรือการหาปริพันธ์ คงเป็นกระบวนการที่ทางคณิตศาสตร์ที่คุ้นเคยกันดีโดยเฉพาะกับนักเรียนสายวิทย์คณิตที่ได้เรียนวิชาแคลคูลัสมาแล้ว สัญลักษณ์ที่ใช้ในการอินทิเกรตก็เป็นที่คุ้นตากันดีในสายงานวิทยาศาสตร์ บางทีเราก็เรียกมันว่า "ถั่วงอก" บ้างล่ะ ก็มันคล้ายจริงๆ นี่นะ เอ แล้วสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมต้องเป็นตัวแบบนี้
สัญลักษณ์ต่างๆ ในทางคณิตศาสตร์มักมีที่มาจากตัวอักษรกรีก เช่น สัญลักษณ์ "ผลรวม" หรือที่เราชอบเรียกกันว่า "ซิกมา" เพราะใช้สัญลักษณ์เป็นตัวอักษรกรีกก็คือตัวซิกมานั่นเอง แล้วเจ้าเครื่องหมายอินทิกรัลนี่มันตัวอะไรกัน
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจความแตกต่างของคำว่า "อินทิเกรต" กับคำว่า "อินทิกรัล" กันก่อน การอินทิเกรตคือชื่อของกระบวนการครับ ตามภาพข้างบนนั่นคือการอินทิเกรต ส่วนคำว่าอินทิกรัล หมายถึงสัญลักษณ์โค้งๆ ที่เราเรียกว่าถั่วงอกนั่นแหละครับ ตัวเดี่ยวๆ ซึ่งหากไล่เรียงดูตัวอักษรกรีกทั้งหมดก็คงไม่เจอมันหรอกครับ เพราะไม่ใช่ตัวอักษรกรีกแต่อย่างใด
* ภาพประกอบจากวิกิพีเดีย |
แต่ใช่ว่าเจ้าตัวนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่เขียนขึ้นมาลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไปนะ ผู้เริ่มใช้สัญลักษณ์อินทิกรัลคือ Gottfried Wilhelm Leibniz ผู้คิดค้นวิชาแคลคูลัส เนื่องจากการอินทิเกรตหมายถึง "การรวม" ของอะไรสักอย่าง เช่น พื้นที่ หรือปริมาตร เป็นต้น ซึ่งภาษาอังกฤษคือคำว่า summation และเป็นเหตุผลให้ไลบ์นิซเลือกใช้ตัว "S" เป็นเครื่องหมายอินทิกรัล ใช่แล้วครับ มันคือตัว "S" จริงๆ ไม่ใช่ S ที่เขียนให้ดูอาร์ตนะครับ แต่เราเรียกมันว่าตัว S ยาว หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า "medial S"
* ภาพประกอบจากวิกิพีเดีย |
ตัว S ยาว เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถูกใช้เมื่อในอดีต คือจะเขียนตัว S เป็นแบบนี้เมื่อมันอยู่หน้าสุดของคำหรืออยู่ระหว่างกลางของคำ ดังเช่นในรูปทางขวามือเป็นคำว่า "Congress" ที่เขียนอยู่ในบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองของสหรัฐอเมริกา (United States Bill of Rights) ฉบับปี ค.ศ.1789 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ไลบ์นิซเริ่มใช้สัญลักษณ์อินทิกรัลเป็นตัว S ยาว พอดี
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
สมัยผมเรียน ป.ตรี เคยอ่านแคลคูลัสเล่มหนึ่งที่ใช้ภาพปกเป็นรูปไวโอลิน พร้อมกับรู f-hole ทำเอาผมเข้าใจผิดมานานหลายปีเลยครับ เพิ่งเข้าใจตอนนี้นี่เองว่า... มันไม่เกี่ยวกันเลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)