วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อาหารเช้า... คอร์สเพิ่มเกรดง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเอง

* ภาพประกอบจาก Pantip.com


คงไม่มีใครปฏิเสธว่าอาหารเช้านั้นไม่สำคัญ ไม่ใช่เพียงช่วยให้เราอิ่มหลังจากที่ท้องว่างมาตลอดทั้งคืนที่เรานอน ล่าสุดมีงานวิจัยจากต่างประเทศที่บอกว่าอาหารเช้านั้นช่วยให้เด็กมีผลการเรียนที่ดีขึ้นอีกด้วย

วิถีชีวิตของคนกรุงเทพนั้นอยู่บนความรีบเร่งตลอดเวลา เด็กบางคนต้องทานอาหารเช้าบนรถ บางคนได้แซนด์วิชสักชิ้นก็ยังดี บางคนแค่นมกล่องเดียวก็คิดว่าพอแล้ว

ผมสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนโรงเรียนผมในตอนเช้า มีเพียงไม่ถึง 30% โดยประมาณที่มาทานอาหารเช้าที่โรงอาหาร และใน 30% นั้น กว่า 1 ใน 3 ทานเพียงแค่ขนมปังปิ้ง แซนด์วิช ข้าวปั้นสาหร่าย หรืออาจเพียงแค่นมสักกล่อง

คำว่าอาหารเช้าในทางโภชนศาสตร์นั้นหมายถึงอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ เพราะฉะนั้น การทางแซนด์วิช หรือข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซึ่งเป็นอาหารเช้ายอดนิยมของเด็กๆ หลายคนนั้นไม่ถูกต้องเลย เรียกว่าเหมือนทานขนมเล่นๆ ไม่ได้ทานอาหารเช้าจริงๆ

มีการศึกษากว่า 21 งาน ในช่วงปี ค.ศ. 1996 - 2013 เกี่ยวกับผลของอาหารเช้าที่มีต่อการพัฒนาความคิดและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กๆ ผลการศึกษาส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกัน งานวิจัย 3 ชิ้น เห็นผลชัดเจนต่อพัฒนาการด้านผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และทักษะการคิดคำนวณ และมี 4 งานวิจัย กล่าวว่าทักษะการคิดคำนวณของนักเรียนนั้น สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (significantly higher)

การศึกษาส่วนใหญ่คือการลงไปควบคุมโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนโดยดูแลการรับประทานอาหารเช้าของเด็กให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ ตัวแปรตามของการศึกษาคือเกรดจากการเรียนและคะแนนการทดสอบมาตรฐานที่นักเรียนต้องเข้ารับ

ผลการศึกษาจะเห็นชัดเจนและมีความสอดคล้องกันยิ่งขึ้นในนักเรียนกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลจากผู้ปกครองในเรื่องอาหารเท่าไรนัก และจะเห็นผลมากในเด็กอายุไม่ถึง 13 ปี

สำหรับผมเองนั้น ได้เริ่มรับประทานอาหารเช้าอย่างจริงจังก็ตอนที่มาศึกษาในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ด้วยเหตุผลคือรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพนั้นต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันที่ยุ่งเพียงใด ผมจะต้องหาเวลาในการทานอาหารเช้าให้ได้เสมอ

เรารับประทานอาหารเย็นกันประมาณ 6 โมง ถึง 1 ทุ่ม สำหรับเด็กนักเรียนแล้ว หากไม่ได้ทานอาหารเช้า กว่า 13 ชั่วโมง ที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ก็ต้องเข้าเรียนคาบที่ 1 เด็กหลายคนตื่นสาย มาโรงเรียนสาย และไม่ได้ทานอาหารเช้า ถึงแม้จะสามารถทนได้เพราะความเคยชิน แต่ผลกระทบต่อสมองนั้นไม่ดีแน่นอน

ปัจจุบันมีหลายองค์กรที่พยายามผลักดันให้มีการจัดการร้านอาหารบริเวณโรงเรียนให้เป็นไปอย่างถูกสุขลักษณะและมีประโยชน์ต่อนักเรียน ผมคิดว่าโรงเรียนเองก็เช่นกัน ต้องหันมารณรงค์โภชนาการของนักเรียนไม่ว่าจะอาหารเช้าหรือมื้อใดก็ตาม แล้วผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจะดีขึ้นแน่นอนครับ

สำหรับงานวิจัย อ่านฉบับเต็มได้ที่ -> http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3737458/

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประกาศขายสิทธิ์วันเกิด Starbucks ฟรี 1 แก้ว ราคา 150 บาท!!!



ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าขายได้ ผมขายจริงๆ นะ ทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เมื่อได้สิทธิ์ฟรี 1 แก้ว ไม่ว่าจะโอกาสใดก็ตาม ผมมักเลือกใช้กับเมนูที่แพงที่สุด อาจเป็นเมนูปั่นหรือเมนูชาเขียวก็ว่ากันไป และผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็ทำเช่นนั้น

แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันไม่ทำให้เรารื่นเริงใจเท่าไรนัก บางครั้งต้องทนดูดน้ำปั่นเย็นเจี๊ยบ ทั้งที่เกลียดน้ำเย็นเข้าไส้ บางครั้งต้องกินเมนูชื่อประหลาดแต่รสชาติไม่ต่างจากเมนูทั่วไป

ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร คุ้มหรือเปล่า ถ้าเทียบกับราคามันก็คุ้มนะ แต่ถ้าเทียบกับความชอบส่วนตัวของเราแล้ว ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย

ช่วงหลังมาผมจึงใช้สิทธิ์แก้วฟรีไปกับกาแฟ French Press หรือลาเต้ร้อนธรรมดาๆ ที่ราคาไม่น่าถือโชว์เท่าไร แต่ก็ดื่มอย่างภาคภูมิใจว่าตรูชอบ!!!

ตอนนี้ผมมีสิทธิ์วันเกิดอยู่ 1 แก้ว แถมยังเลือกเครื่องดื่มขนาดไหนก็ได้ด้วย แต่บอกตามตรงนะ ถ้าใช้จริงผมก็คงสั่งแค่ press ไซส์เล็ก หรือลาเต้ร้อนแก้ว tall เพิ่มช็อต ราคา 120 บาทเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วผมเลือกเครื่องดื่มที่ราคา 200+ ได้ด้วยซ้ำไป

เพราะงั้นผมจึงอยากขายสิทธิ์นี่ไง ขายไป 150 บาท เอาไปซื้อกาแฟ 120 บาท กำไร 30 บาท เห็นๆ มันอาจถ่ายโอนสิทธิ์ไม่ได้ แต่เอางี้ไหมครับ ไปร้านพร้อมกัน สั่งอะไรก็ได้ตามใจคุณต้องการ แล้วจ่ายผมแค่ 150 บาท WIN ทั้งคู่!!!

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทำไมแต้ม 1 และ 4 บนหน้าลูกเต๋า จึงใช้จุดสีแดง

* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


ลูกเต๋า เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มากว่า 5,000 ปี เห็นได้จากหลักฐานการขุดพบเกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Backgammon ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอิหร่าน ในปัจจุบันยังมีการใช้ลูกเต๋ากันอย่างแพร่หลาย ในที่นี้ผมกำลังพูดถึงลูกเต๋าที่มี 6 หน้า ไม่ว่าจะใช้เพื่อการเล่นเกม การทำนายดวงชะตา หรือแม้กระทั่งในการศึกษาความน่าจะเป็นในทางคณิตศาสตร์ แต่เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมแต้ม 1 และ 4 บนหน้าลูกเต๋า ต้องเป็นจุดสีแดง ไม่ใช่สีดำเหมือนแต้มอื่นๆ

ลูกเต๋า 6 หน้า ในปัจจุบันมีหลายชนิด หลักๆ ก็มีอยู่ 3 ชนิด คือ

1. ลูกเต๋าแบบตะวันตก จุดที่ใช้แทนแต้มจะมีขนาดเท่ากันและเป็นสีดำทั้งหมด

2. ลูกเต๋าสำหรับคาสิโน ลูกเต๋าประเภทนี้จะต้องมีการผลิตให้น้ำหนักของหน้าลูกเต๋าทั้ง 6 หน้า มีน้ำหนักเท่ากันทั้งหมด ไม่มีการคลาดเคลื่อนจากจำนวนแต้ม หากแต้มน้อยก็จะต้องใช้แต้มที่มีขนาดใหญ่กว่า หรือลงสีเป็นปริมาณที่มากกว่า เพื่อให้มีน้ำหนักเท่ากับหน้าอื่น

3. ลูกเต๋าแบบเอเชีย เป็นลูกเต๋าที่เราคุ้นเคยกันดี มีลักษณะคล้ายกับแบบตะวันตก แต่จุดบนหน้าแต้ม 1 จะมีขนาดใหญ่กว่าแต้มอื่นๆ และการลงจุดในแต่ละหน้ามีความหนาแน่นของจุดมากกว่าแบบตะวันตก และที่สำคัญ แต้ม 1 และ 4 ใช้จุดที่เป็นสีแดงนั่นเอง

ว่ากันว่าลูกเต๋าแบบเอเชียมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1643) จักรพรรดิพระองค์หนึ่งในขณะนั้น ขณะทรงเล่นเกมกระดาน Sugoroku กับพระมเหสีและทรงใกล้แพ้ มีหนทางเดียวที่จะสามารถพลิกกลับมาชนะได้คือพระองค์ต้องทอดลูกเต๋าทั้งสามลูกและได้แต้ม 4 ทั้งหมด ซึ่งมันเกิดขึ้นจริง พระองค์ทรงดีพระทัยมากจึงมีรับสั่งให้ทาสีแดงบนแต้ม 4 ของลูกเต๋าที่จะผลิตในภายหลังจากนี้ไปทุกลูก เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของความดีพระทัยของพระองค์

แล้วแต้ม 1 มีเหตุผลอะไรถึงต้องเป็นสีแดง อันนี้ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดิแต่ก็เป็นเหตุผลของมนุษย์แดนมังกรเช่นกันครับ เป็นความเชื่อว่าการมีพื้นหลังสีขาวแล้วมีลูกกลมๆ สีดำ ถือเป็นลางร้ายนั่นเอง (แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมแต้มอื่นนอกจาก 4 จึงไม่มีปัญหา)

ข้อมูลจาก: TheCardZ, GamesMuseum และ Wikipedia

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บล็อกนั้น สำคัญไฉน

"Just a small blog of one simple teacher..."


ผมเคยเขียนบล็อกแล้วก็หยุดไป เขียนๆ หยุดๆ มา 2-3 รอบ เปลี่ยน weblog มาก็หลายเจ้า ตามแต่อารมณ์ รู้สึกสนุกกับการเขียนแต่พอไม่ค่อยมีใครเข้ามาอ่านก็เบื่อและหยุดเขียนไป

มีโอกาสได้ไปอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 วิทยากรได้แนะนำให้ใช้บล็อก ผมจึงมีโอกาสได้กลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง และคิดว่าคงจะเขียนไปเรื่อยๆ ไม่หยุดแล้วแหละคราวนี้

ผมคิดว่าบล็อกนั้นสำคัญไม่แพ้การใช้สังคมออนไลน์อื่นๆ เลย เท่าที่พอจะทราบคือต่างชาตินี่เค้าให้ความสำคัญกับการเขียนบล็อกมากนะ เพราะเป็นที่แสดงความคิดเห็น ที่ประชาสัมพันธ์ ที่แสดงความเป็นตัวตนของเราให้ผู้อื่นได้รับทราบ

เหมือนกับว่าการใช้สังคมออนไลน์อื่นๆ ก็ทำได้ใช่ไหมครับ ล่าสุดที่ผมสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นผู้เข้าร่วมงาน TEDxBangkok ที่กำลังจะมีขึ้นเป็นครั้งแรก มีช่องสำหรับให้ผู้สมัครกรอกเว็บไซต์ของตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "ให้รู้จักตัวเรามากขึ้น" เกิดปัญหาละสิครับ บล็อกเก่าก็หยุดเขียนไปประมาณ 3 ปี แล้ว จะลงหน้าเฟซบุ๊คเราก็ไม่ได้เปิดสาธารณะเอาไว้ และมันก็ดูจะเป็นส่วนตัวเกินไปสำหรับสิ่งนี้ด้วย อีกอย่าง คงไม่มีใครอยากเข้ามาอ่านเราบ่นโน่นนี่บนหน้าเฟซบุ๊คกระมัง

สุดท้ายก็ต้องใส่หน้าบล็อกเก่าที่นิ่งมานานเพื่อแก้ขัด พลันคิดถึงการเขียนบล็อกอีกครั้ง ผมมีโอกาสได้เขียนบทความบ้างลงในฟังก์ชันเขียนบทความของเฟซบุ๊ค แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกดเข้ามาอ่าน จะเขียนแล้วโพสท์ลงสเตตัสไปเลยมันก็ดูยาวกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับสเตตัสเฟซบุ๊ค ก็เลยมาจบลงที่ Blogspot (หรือ Blogger) นี่แหละครับ จาก weblog เก่าที่เคยใช้ Wordpress แต่ด้วยความที่ปัจจุบันการให้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตมักจะเชื่อมโยงกันหมด ผมเองก็เป็นผู้ใช้บริการของ Google อยู่หลายบริการ จึงต้องจบที่ weblog ของ Google เช่นกัน

หลักๆ ก็คงจะเขียนแบบมีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง อาจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เรื่องของกาแฟในมุมมองของผม และความบ้าหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของผมก็เช่นกัน เอาเป็นว่า ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยือนบล็อกของผม จะทั้งตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ใครทึ่เบื่อจะอ่านผมบ่นในเฟซบุ๊คแล้ว ก็มาอ่านบล็อกนี้ก็ได้ครับ มีสาระกว่าเยอะ 555

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เลือกหนังสือเพื่อเตรียมสอบ PAT 1 อย่างไรดี

* ภาพประกอบจาก Open Durian



ช่วงนี้มีนักเรียนถามกันเยอะว่าจะซื้อหนังสือเล่มไหนมาอ่านเตรียมสอบ PAT 1 ดี เป็นปลื้มมากที่เห็นนักเรียนมีความกระตือรือร้นกัน ครูก็ขอเขียนเทคนิคการเลือก ไม่สิ เรียกว่าเป็นคำแนะนำในการเลือกหนังสือสำหรับอ่านเตรียมสอบ PAT 1 จากประสบการณ์ของครูหน่อยก็แล้วกัน


ก่อนอื่น ต้องทราบจุดประสงค์ของตัวเองก่อนครับว่าต้องการอะไร ครูขอแบ่งความต้องการออกเป็นดังนี้



1. ต้องการเนื้อหาแน่นๆ เพราะลืมเนื้อหาเก่าหมดแล้ว
2. สรุปเนื้อหา ทฤษฎี สูตร แบบกระชับ อ่านจบภายในไม่กี่วัน
3. ความรู้แน่น สูตรเป๊ะเว่อร์แล้ว ฉันอยากตะลุยโจทย์สักล้านข้อ!!!
4. เอาหมดเลยได้มั้ย

ลองสำรวจความต้องการของตัวเองก่อนครับ และประเมินตัวเองคร่าวๆ ว่าตอนนี้ระดับความรู้ของเราเป็นอย่างไร เมื่อทราบแล้วก็ไปอ่านคำแนะนำกันเลยครับ

1. ต้องการเนื้อหาแน่นๆ เพราะลืมเนื้อหาเก่าหมดแล้ว

ไม่ค่อยอยากให้มีใครอยู่ในข้อนี้สักเท่าไรเลยครับ เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน ก็สอบแล้ว อย่าชะล่าใจนะครับ ปิดเทอมตุลามันสั้น ตดไม่ทันหายเหม็นก็เปิดเทอมแล้ว ไหนจะต้องซ้อมกีฬาสีกันอีก คิดดูสิ แต่เอาเถอะ ถ้าใครยังอยู่ในสภาพนี้ละก็ รีบไปหาหนังสือมาอ่านหลังจากอ่านคำแนะนำของครูจบได้เลย สำหรับผู้ที่ต้องอ่านทบทวนเนื้อหาใหม่ทั้งหมดเพราะตอนนี้สมองโปร่งโล่งสบาย เราจะต้องเจอกับการแบกหนังสือเล่มหนาไม่ต่างจากพจนานุกรมทีเดียวเชียวครับ เพราะทั้งเล่มจะต้องมีเนื้อหาครบทุกบท มีตัวอย่าง และมีแบบฝึกหัดเล็กๆ น้อยๆ ประมาณบทละ 10-15 ข้อ บางเล่มดีหน่อยก็มีเฉลยละเอียดด้วย หนังสือแนวนี้ที่ครูชอบก็อย่างเช่นของ อ.จักรินทร์ (อ.กลาง) ครับ ภาษาที่ใช้อ่านง่ายดี โจทย์เยอะ แต่ข้อเสียคือ อ.กลาง จะมีเทคนิค สูตรลัด เยอะไปหน่อย บางทีเราอ่านแล้วอาจตามไม่ทัน

นอกจากของ อ.กลาง ก็มีของทีม ศ.ณรงค์ ปั้นนิ่ม และ อ.กนกวลี ครับ เห็นชื่อนี่เมื่อไรมั่นใจได้เลยว่า เราจะได้พบกับเนื้อหาที่เข้มข้น ซึ่งดีครับ แต่บางคนอาจไม่ชอบเพราะใช้เวลาอ่านเยอะและอาจน่าเบื่อไม่ตรงใจวัยรุ่น Gen Z นัก และที่แนะนำอีกคนก็คือของพี่ณัฐ อุดมพาณิชย์ หนังสือของพี่ณัฐจะมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร แค่ปกกับชื่อหนังสือก็น่าอ่านแล้ว แต่จะแยกค่อนข้างชัดเจน คือหนังสือเนื้อหา ก็เนื้อหาล้วนไม่มีแบบฝึกหัด หนังสือรวมโจทย์ก็โจทย์เพียบไม่มีเนื้อหา ข้อดีของพี่ณัฐคือเฉลยอ่านง่าย และไม่ได้ใช้สูตรลัดอะไรมากมายเหมือน อ.กลาง ครับ

อ้อ ถ้าใครมีเวลาและอยากอ่านเนื้อหาที่เข้มข้นสามารถเลือกหนังสือแบบเป็นซีรี่ย์ คือแยกเป็นหลายเล่ม บางชุดแยกเป็นเล่ม ม.4 5 6 บางชุดก็ระบุไว้ที่ปกเลยว่าเล่มนี้มีเนื้อหาบทใดบ้าง แต่ครูว่า เวลาที่เหลือคงไม่เหมาะกับการอ่านหนังสือแบบนี้ เอาไว้หวังผลรอบ 2 หรือสามัญ 7 วิชา ก็ได้ครับ

2. สรุปเนื้อหา ทฤษฎี สูตร แบบกระชับ อ่านจบภายในไม่กี่วัน

หนังสือสรุปพวกนี้จะทำออกมาเล่มเล็กๆ เก๋ๆ ดูแล้วน่าอ่านเพราะคิดว่าไม่นานคงจบ ก็ใช้ทบทวนได้ครับสำหรับคนที่ค่อนข้างแม่นเนื้อหาในระดับหนึ่งแล้ว หนังสือสรุปจะแบ่งชัดเจนว่าเพื่อ O-Net หรือ PAT 1 หรืออื่นๆ อีกมากมาย อย่างหนังสือ อ.กลาง ตอนนี้มีเวอร์ชัน mini เล่มเล็กๆ ออกมา เท่าที่เห็นคือมี 2 เล่ม O-Net กับ PAT 1 ถึงจะ mini ก็ใช่ว่าอ่านไม่เยอะนะครับ เพราะแค่ตัดโจทย์ออกบางส่วนและลดขนาด font ลง หนังสือก็เล็กลงเยอะแล้ว แต่ก็ตามสไตล์ของแกแหละครับ สูตรเพียบ

นอกจากนี้ก็มีหนังสืออีกมากมายหลากหลายผู้แต่งที่ทำเป็นเล่มเล็ก ปกฟรุ๊งฟริ๊ง พิชิตโน่นนี่ภายใน 7 วัน อย่างกับขายครีมหน้าใส หรือถ้าดูหวือหวาน้อยลงหน่อยก็มีพิชิตใน 30 วัน บ้าง 50 วัน บ้าง ครูว่าอย่างนี้ยังพอเป็นไปได้หน่อย มีอยู่เล่มหนึ่งครูจำไม่ได้แล้วว่าใครเขียน แต่เขาแบ่งให้ชัดเจนมากว่าวันไหนอ่านกี่ชั่วโมง และต้องอ่านบทไหนให้จบบ้าง ก็ดีนะครับ อย่างน้อยก็ช่วยให้เรามีแผนการอ่านไปในตัว

3. ความรู้แน่น สูตรเป๊ะเว่อร์แล้ว ฉันอยากตะลุยโจทย์สักล้านข้อ!!!

หนังสือตะลุยโจทย์มีทั้งแบบแยกบทและแบบรวมข้อสอบ เก็งโน่นนี่ก็มีครับ แบบแยกบทนี่หนังสือจะค่อนข้างหนาไม่ต่างจากแบบรวมเนื้อหาครับ ครูไม่ค่อยสนใจผู้แต่งเท่าไรเพราะเอาโจทย์มาจากแหล่งเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ แค่ดูว่าเล่มไหนโจทย์เยอะ เล่มไหนพิมพ์สวย และเลือกที่ว่าเราอยากได้เฉลยละเอียดทุกข้อ บางข้อ หรือแค่บอกคำตอบก็พอ ส่วนผู้แต่งจะต่างกันตรงที่แนวการเขียนเฉลยครับ คล้ายๆ กับแนวการเลือกเนื้อหา อ.กลาง ก็สูตรเยอะ และจำนวนข้อสอบจะเยอะมากเมื่อเทียบกับขนาดของหนังสือ เพราะแกเฉลยสั้นๆ ครับ พี่ณัฐก็อ่านง่ายดีแต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบรวมข้อสอบมากกว่าแยกบท แนะนำหนังสือ "SYNTAX" ครับ เล่มนี้จะมีแบบทดสอบวัดความเข้าใจเนื้อหาก่อนแล้วจึงทำรวมข้อสอบที่แยกระดับความยากไว้อย่างดี เฉลยละเอียดมาก แต่นั่นส่งผลให้ข้อสอบมีจำนวนไม่เยอะมากนัก

ส่วนของทีม ศ.ณรงค์ และ อ.กนกวลี ก็เน้นทฤษฎีตรงไปตรงมาครับ เฉลยละเอียดมากเช่นกัน ทำให้ปริมาณข้อสอบไม่เยอะเท่าไรเมื่อเทียบกับความหนาของหนังสือ แต่ที่ครูชอบมากคือหนังสือ 1001 Tests ของสำนักพิมพ์ Mac ครับ ในชุดมี 3 เล่ม แยกบท โจทย์เยอะและหลากหลาย เฉลยเป็นไงบ้างนี่ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะครูไม่ค่อยได้อ่านเท่าไร แต่ปัญหาคือ 3 เล่ม รวมราคาก็พันนิดๆ เชียว ยังไงก็ถูกกว่าเรียนพิเศษแหละเนอะ

หนังสือรวมข้อสอบนี่ ขอแนะนำว่าอย่าซื้อของ "ทีมนิสิตแพทย์สามย่าน" เด็ดขาด ไม่ได้รู้จักนักเขียนเป็นการส่วนตัว แต่จากที่เคยซื้อหนังสือเขามา 2 เล่ม รู้สึกว่าหลอกลวงครับ อย่างเล่มนึงบอกว่ารวมข้อสอบ 1,000 ข้อ เอาเข้าจริงโจทย์ซ้ำไปซ้ำมาเยอะมาก มีอยู่จริงแค่ 3 ร่อยกว่าข้อ (นั่งนับเลยนะ) ที่สำคัญ เฉลยมั่วเยอะครับ เฉลยผิดๆ ถูกๆ โจทย์พิมพ์ไม่ครบก็มี ไม่รู้รีบพิมพ์รีบขายหรืออย่างไร

4. เอาหมดเลยได้มั้ย

ไปเรียน ม.4 ใหม่เถอะครับ 555+

อะล้อเล่น ถ้าคิดว่าตัวเองกำลังเป็นจุดวิกฤตที่ความรู้อยู่ในระดับค่าต่ำสุดสัมพัทธ์แล้วล่ะก็ อ่านเล่มไหนก็อ่านเถอะครับ แต่ขอให้เริ่มอ่านทันทีทันใด ส่วนหนังสืออย่าหวังว่าจะมีหนังสือที่เนื้อหาแน่น โจทย์เยอะ เก็งข้อสอบมากมายเลยครับ ซื้อ 2 เล่ม ก็ไม่เสียหาย ถูกกว่าค่าบัตรคอนเสิร์ตเกาหลีเยอะครับ

หรือถ้าอยากประหยัดจริงๆ ไม่ได้ต้องการขีดๆ เขียนๆ อะไรลงในหนังสือ ไปดูที่ห้องสมุดก็ได้ครับ ไม่ว่าจะโรงเรียนไหนก็มีหนังสือให้เลือกมากมายครับ ดีด้วยเพราะมีกำหนดส่งคืนหนังสือทำให้เราต้องรีบอ่าน

หรืออีกตัวเลือกหนึ่งก็หาจากเน็ทเอาครับ เว็บที่ครูใช้บ่อยๆ ก็เช่น


เว็บนี้มี ebook เนื้อหาคณิตศาสตร์ให้โหลดครับ เนื้อหาค่อนข้างลึก บางทีก็ลึกเกินหลักสูตร แต่อ่านได้ไม่เสียหายครับ

Math E-Book (http://math.kanuay.com)

เว็บ ebook คณิตศาสตร์เช่นกัน มี 2 แบบ แบบแรกเป็นแบบรวมเนื้อหาและมีแบบฝึกหัด สรุปง่ายๆ สั้นๆ แต่บางบทเนื้อหาก็น้อยไปหน่อย และโจทย์อาจไม่หลากหลาย อีกแบบเป็น Release Conc. คือสรุปสั้นๆ กะทัดรัดครับ ebook ของเว็บนี้มีทำเป็นหนังสือ paperback ขายด้วยครับ ถ้าชอบก็อย่าลืมอุดหนุนนะครับ

ติวเลขดอทคอม (http://www.tewlek.com)

ไม่มี ebook แต่มีสรุปเนื้อหาแยกบทให้อ่านครับ ไม่ค่อยละเอียดเท่าไร และมีโจทย์ให้ลองทำด้วย แต่จะเป็นโจทย์ระดับข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียส่วนใหญ่นะครับ

หรือวิธีที่ง่ายที่สุดก็ถามเฮีย Google เอาเลยครับ พิมพ์ไปเถอะ เดี๋ยวก็เจอ อ้อ มีอีกเว็บที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือ...

โอเพ่นดูเรียน (https://opendurian.com)

ไม่ได้อวยเป็นพิเศษนะครับ แต่ของเค้าดีจริงๆ เป็นเว็บที่เรียกว่าการเรียนแบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ จะผ่านคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์พกพาอย่างแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนก็สะดวกมากมาย ทุกอย่างดำเนินการบนเว็บแอพพลิเคชั่น ไม่ต้องโหลดไฟล์อะไรมาปริ๊นท์ให้เปลืองครับ

ในเว็บมีส่วนสรุปเนื้อหาที่สามารถเข้าไปอ่านได้ฟรี และส่วนเฉลยข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งมีการแยกชุดและแบ่งระดับความยากอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเฉลยที่ละเอียด อ่านง่าย และสวยงาม ตอนนี้ทางเว็บเปิดบริการ PAT 1 Hack สำหรับรอบนี้แล้วด้วยครับ สามารถเข้าไปติดตามรายละเอียดได้ตามลิงค์นี้ครับ https://opendurian.com/pat1hack/

คำแนะนำของครูอาจจะตรงใจหรือไม่ถูกใจใครก็ต้องขออภัยไว้นะที่นี้ครับ หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักเรียนทุกคน ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ของครู และที่สำคัญ ครูไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับสำนักพิมพ์ ผู้เขียนหนังสือ ร้านหนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ บิล เกตต์ บารัก โอบามา และคิม จอง อึน แต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มาใช้บริการสนามบินทีไร มักต้องจ่ายแพงกว่าราคาจริงเสมอ

มาใช้บริการสนามบินทีไร ไม่ว่าจะดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ มักโดนโกงเงินเสมอ

----------- เรื่องที่ 1 ------------

ผมเป็นครูคณิตที่นั่งแท็กซี่แล้วคิดเลขผิดทุกครั้งไป

ค่ารถ 187 จ่าย 200 พี่โชเฟอร์ทอน 10 บาท

แต่!!! อย่าคิดว่าผมจะพลาดง่ายๆ

ควักเศษ 7 บาท ยื่นให้ แล้วบอกว่า "พี่ให้ผมอีก 10 บาท แล้วกันครับ"

พี่โชเฟอร์ตอบ "ผมมีแค่นี้ครับ"

... โอเคครับ ผมยอม

----------- เรื่องที่ 2 ------------

ด้วยความที่ไม่ได้มาสุวรรณภูมินาน เห็นร้านข้าวแกงเปิดใหม่ในศูนย์อาหารชั้นล่าง ติดป้ายราคาที่ทำให้ผมต้องอึ้ง!!!

"ราด 3 อย่าง 30 บาท"

"โห ในสนามบินยังมีราคานี้ให้กินด้วยแฮะ ใจดีจัง" ผมคิดในใจ

สั่งข้าวราด 3 อย่าง เรียบร้อย โดยใช้วิธีการชี้ๆ เอาเพราะเสียงรอบๆ ดังมาก

แม่ค้ายื่นข้าวให้พร้อมบอกว่า "ซวื่อ ฉรือ อู่ว"

ผมพยายามระลึกความหลังเมื่อเรียนภาษาจีน "45 บาท เหรอ... ไหนว่า 30 บาท" ผมคิด "หรือคิดว่าผมเป็นทัวร์จีน แล้วคิดแพงนะ"

ผมตอบกลับว่า "หว่อ ไท่ กว๋อ นะ"... "ไม่ใช่ 30 บาท เหรอครับ"

"อ๋อ มีไข่ดาวด้วย" พนักงานตอบ

ผมมองป้ายราคา "ราด 2 อย่าง 25 ไข่ดาว 10 บาท ก็ต้อง 35 บาท สิครับ" ผมถามกลับ

"ขอโทษทีค่ะ พอดียังไม่ได้แก้ราคาเก่า"

จบครับ ผมจ่าย 45 บาท ด้วยดี แล้วคิดในใจว่า

"แถวนี้แม่งเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้"

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Tell me, do you bleed? Yes, but Bleeding Edge!!!

* ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


ว่าด้วยภาพคอนเซปท์ชุดเกราะใหม่ของ Tony Stark ในภาพยนตร์ภาคต่ออย่าง Captain America: Civil War แล้ว เป็นที่น่าสนใจมากที่ได้เห็นชุดนี้เร็วกว่าที่คิด และเป็นที่น่าคิดด้วยว่า Fantastic 4 ภาคใหม่จะโยงเข้ากับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel ด้วยหรือเปล่า เพราะเกราะ Bleeding Edge นี่ผู้ออกแบบร่วมกับ Stark ก็คือ Reid Richard หัวหน้าทีม Fantastic 4 นั่นเอง ที่บอกว่าเร็วเกินไปนี่เพราะ Bleeding Edge เป็นเกราะในยุค post-human ของ Tony Stark คือแทบจะสูญเสียความเป็นคนไปแล้ว เพราะเกราะนี้อัพเกรดมาจาก Extremis ซึ่งเป็นเกราะเทพตัวหนึ่งของ Stark เลย คือเกราะมันฝังอยู่ในไขกระดูกของ Stark ด้วยนาโนเทคโนโลยี และสามารถสั่งการเกราะได้ด้วยจิตใจ นั่นคือ Stark จะใส่เกราะเมื่อไรก็ได้ดั่งใจนึก ซึ่งคิดว่าในภาพยนตร์คงไม่เอาความสามารถตรงนี้มาใส่เพราะมันดูจะ surreal มาก ส่วนความสามารถอื่นๆ ของ Bleeding Edge ก็คือใช้เตาปฏิกรณ์ Repulsor Technology รุ่นใหม่ แล้วดวงไฟรอบๆ ตัวนั่นก็ไม่ได้เอาไว้สวยๆ สว่างๆ นะ แต่เป็นเสมือน "ตา" ที่ช่วยให้ Stark สามารถมองเห็นได้ 360 องศา รอบตัวเลยทีเดียว และที่สำคัญคือเกราะนี้สามารถแปลงเป็นอะไรก็ได้ นึกถึงตัวร้ายในคนเหล็กภาค 2 อย่าง T-1000 ที่เป็นเหล็กเหลว สามารถแปลงแขนเป็นดาบได้ เป็นตะขอได้ ประมาณนั้นเลย แต่ของ Stark นี่ แปลงเป็นดาบก็ได้ ปืนเล็กปืนใหญ่ได้หมด และที่สำคัญ แปลงเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ได้ ผมเองคิดว่าที่เลือกเอา Bleeding Edge มาใช้ เพราะตามคอมมิคเป็นเกราะสุดท้ายก่อนที่ Tony Stark จะเลิกเป็น Iron Man ครับ เชื่อว่าบทบาทของ Stark ในภาพยนตร์จะหมดลงเร็วๆ นี้ อย่างที่มีข่าวว่า RDJ เซ็นสัญญากับ Marvel ไว้อีก 3 เรื่อง ก็คงเป็น Civil War และ Infinity War อีก 2 ภาค เท่านั้น แต่ตัวเกราะเองจะออกมาแบบไหนก็ต้องรอลุ้นกันปีหน้าครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Vision ยกค้อนของ Thor ได้อย่างไร



เงิบไปตามๆ กัน เมื่อ Vision ยก Mjolnir ค้อนของ Thor ได้หน้าตาเฉย ในภาพยนตร์ The Avengers: Age of Ultron ทั้งๆ ที่ใน comic ก็ไม่เคยเห็น Vision ยกค้อนของ Thor แต่อย่างใด

อันที่จริงต้องเท้าความกันเล็กน้อยก่อนว่า Vision ในภาพยนตร์ต่างจากใน comic อยู่นะ และประเด็นที่ต่างกันมากคือ Vision ในภาพยนตร์มี Mind Gem อยู่ตรงหน้าผากนี่แหละ ที่อาจส่งผลให้มีพลังมากกว่าที่คิด

ถึงแม้ว่าในจักรวาล comic จะมีตัวละครมากกว่าสิบตัวที่สามารถยก Mjolnir ได้ แต่ในจักรวาลของภาพยนตร์นั้นดูแล้วแทบจะไม่มีทางที่ใครอื่นจะยกได้เลย ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น Capt. แหละ แต่อยู่ดีไม่ว่าดี Vision ก็ยกขึ้นมาหน้าตาเฉย จริงๆ แล้ว Joss Whedon คงใส่มาเป็น easter egg ขำๆ แหละ แต่มันก็พอจะมีเหตุผลที่ยกได้อยู่บ้างนะ (มโนไปเรื่อย) ดังนี้

1. เหตุผลแบบโลกสวย

Vision มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมากๆ ถึงมากที่สุด ก็นะ เพิ่งเกิดแค่วันเดียวนี่เอง แถมจิตใจดีและหล่อมากซะขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นผู้ที่ "คู่ควร" ต่อการยกค้อน

2. เหตุผลแบบไสยศาสตร์

เพราะ Vision มี Infinity Gem อยู่ด้วย ด้วยความที่เป็นไอเทมเทพ ก็อาจส่งผลให้ผู้ที่ครอบครองสามารถทำอะไรเหนือความคาดหมายได้ แต่เหตุผลนี้ไม่ยืนยันนะเพราะใน comic ก็ไม่ได้มีใครที่ยกค้อนได้เพราะมีอัญมณี

3. เหตุผลแบบวิทยาศาสตร์

จริงๆ ก็ไม่เชิงวิทยาศาสตร์นักหรอก แต่คงเป็นเหตุผลที่ Joss Whedon อยากตอบมากที่สุดละ ในตอนท้ายเรื่องที่ศูนย์ฝึก Avengers แห่งใหม่ (Theta Protocol ที่กล่าวถึงใน Agents of S.H.I.E.L.D.) Capt. Thor และ Stark คุยกัน แล้ว Capt. ยิงคำถามว่า ถ้าวางค้อนของ Thor ไว้ในลิฟท์แล้วกดลิฟท์ขึ้น ค้อนจะขึ้นไปด้วยมั้ย ถ้าขึ้น แล้วทำไมลิฟท์จึงเป็นผู้ที่คู่ควร ซึ่งคำตอบก็คือลิฟท์ไม่ได้เป็นผู้ที่คู่ควร แต่ลิฟท์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เหมือนที่วางค้อนไว้บนโต๊ะแล้วโต๊ะไม่พังนั่นแหละ ซึ่ง Vision เองก็ไม่ใช่คนด้วยนะ เป็นเพียงหุ่น Android เท่านั้น ก็อาจเป็นเหตุผลที่ Vision ยกค้อนได้นั่นเอง

ว่าไปแล้วก็อาจมีเหตุผลที่ขัดแย้งในตัวของมันเองเช่นกันว่า Vision ก็มีจิตใจ มีความคิดนะ ไม่ได้เป็นเพียงโปรแกรมเหมือนอย่าง J.A.R.V.I.S. หรืออาจมีคำถามตามมาอีกเช่นว่า ถ้า Stark สั่งให้ Iron Legion มายกค้อน แล้วจะยกขึ้นหรือเปล่า

ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม สรุปสุดท้ายได้ง่ายนิดเดียวว่า... มันเป็นหนังครับ 555